แฉหลอก'เจ้าคุณ'วัดพนัญเชิงฯ โกยเงินทอนวัด13ล้าน จากงบ20ล้าน
สุดแสบ! ทนายแฉเจ้าคุณ "พระธรรมรัตนมงคล" วัดพนัญเชิงฯ ตกเป็นเหยื่อ ถูก "บิ๊กพศ." หลอกกินเงินเปล่า โกยเงินทอนวัด13ล้าน จากงบหลวง20ล้าน
ที่หอประชุมวัดพนัญเชิงวรวิหาร ต.คลองสวนพลู อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา ได้มีการชี้แจงกรณีเงินอุดหนุนวัดพนัญเชิงวรวิหาร ปีงบประมาณ 2557 และ 58 ที่ตกเป็นข่าวในเรื่องการทุจริต โดยมีนายสมศักดิ์ โตรักษา ที่ปรึกษากฎหมายของพระธรรมรัตนมงคล (นพปฎล กตสาโร) หรือ "เจ้าคุณแวว" เจ้าอาวาสวัดพนัญเชิงวรวิหาร และที่ปรึกษาวัดพนัญเชิงวรวิหาร เป็นผู้ชี้แจง มีสื่อมวลชนมาร่วมฟังจำนวนมาก
นายสมศักดิ์ ชี้แจงว่าเมื่อปี 2555 วัดได้ก่อสร้างกุฎิทรงไทยจำนวน 9 หลัง และปี 2556 ได้ก่อสร้างทางเดินรอบวิหารหลวงพ่อโต ทั้งหมดได้ใช้เงินจากการบริจาค ซึ่งในปี 2556 นั้นเอง นางสาว ป. ตำแหน่ง ผอ.กองพุทธศาสนสถาน สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติขณะนั้น ซึ่งรู้จักกับพระธรรมรัตนมงคล เจ้าอาวาส ได้แจ้งว่าทางสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จะให้เงินอุดหนุนวัดจำนวน 10 ล้านบาท
โดยเป็นเงินเพื่อการบูรณปฎิสังขรณ์ภายในวัด 2 ล้านบาท และอีก 8 ล้านบาทนำไปให้วัดอื่นที่ยากจน ซึ่งวัดพนัญเชิงวรวิหาร ก็นำเงินจำนวน 2 ล้านไปทำการบูรณซ่อมแซมวัดตามวัตถุประสงค์ของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ซึ่งเป็นงบประมาณปี 2557
ต่อมาปลายปี 2557 นางสาวป. ก็แจ้งกับทางเจ้าอาวาสวัดพนัญเชิงวรวิหาร โดยจะมอบเงินอุดหนุนให้กับทางวัดอีกจำนวน 10 ล้านบาท แต่ขอให้ทางวัดมอบเงินสดให้กับนางสาวป. เพื่อนำไปช่วยเหลือวัดอื่นๆจำนวน 5 ล้านบาท ซึ่งทางวัดพนัญเชิงวรวิหารก็ได้นำเงินจากงบประมาณอุดหนุนปี 2557 นั้นจำนวน 5 ล้านไปบูรณะปรับปรุงกุฎิทรงไทยจำนวน 9 หลัง ซึ่งทั้งสองงบประมาณ ทางเจ้าอาวาสได้สอบถามนางป.ว่าเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายหรือไม่ นางสาวป. ยืนยันว่าไม่มีอะไรผิดกฎหมาย ทำให้พระธรรมรัตนมงคลเชื่อ เนื่องจากเห็นว่าเป็นเจ้าหน้าที่ผู้ใหญ่
ซึ่งต่อมา กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริต และประพฤติมิชอบ หรือปปป. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เดินทางมาตรวจสอบเกี่ยวกับการใช้เงินอุดหนุน และมีการสอบปากคำพระธรรมรัตนมงคล ถึงการใช้เงิน 2 ล้าน และ 5 ล้านบาท ที่ได้รับอุดหนุน โดยวันที่ 19 มิ.ย.ที่ผ่านมา ทางปปป. ได้แจ้งข้อกล่าวหากรณีเงินอุดหนุนวัดพนัญเชิงวรวิหาร จำนวน 13 ล้านบาท ทำให้พระธรรมรัตนมงคลเชื่อว่านางสาวป. ไม่ได้นำเงิน 13 ล้านไปช่วยเหลือวัดยากจนจริง จึงได้ทำการแจ้งความดำเนินคดีกับนางสาวป. ที่ สภ.พระนครศรีอยุธยา ไว้ ซึ่งหากได้เงินจำนวนดังกล่าวคืนมาจะคืนให้สำนักงานพระพุทธศาสนาต่อไป