‘พีเอสไอ’ปรับตัวยุค4.0 ชูนวัตกรรมสมาร์ทโฮม

‘พีเอสไอ’ปรับตัวยุค4.0 ชูนวัตกรรมสมาร์ทโฮม

การเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมโทรทัศน์ จากการเปิดตัว“ทีวีดิจิทัล”ช่องใหม่ ที่มีคอนเทนท์ดูฟรีเพิ่มขึ้น รวมทั้งการเข้าสู่ยุคโมบาย เฟิร์ส จากการใช้อินเทอร์เน็ต 90% ผ่านมือถือ

ส่งผลต่อพฤติกรรมการเสพคอนเทนท์ทีวีผ่านช่องทางทีวีดาวเทียม และธุรกิจจำหน่ายอุปกรณ์รับสัญญาณ(set top box) เริ่มอยู่ในภาวะทรงตัว   

สมพร ธีระโรจนพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท พีเอสไอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่าปัจจุบันตลาดจานและกล่องรับสัญญาณดาวเทียม ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของพีเอสไอ เริ่มอยู่ในภาวะ“อิ่มตัว”ตั้งแต่ปี 2558 จากการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมโทรทัศนในยุคดิจิทัล ปีที่ผ่านมามียอดจำหน่ายกล่องอยู่ที่ราว 2-3 ล้านกล่อง ถือว่า“ไม่โต”

ปัจจุบันครัวเรือนไทยทั่วประเทศรับชมช่องรายการทีวีผ่านโครงข่ายเคเบิลและทีวีดาวเทียมสัดส่วน 60-70% ถือว่าอุปกรณ์จานและกล่องดาวเทียม กลายเป็นสินค้าที่เข้าถึงครัวเรือนไทยในอัตราสูง ดังนั้นการทำตลาดอุปกรณ์รับสัญญาณทีวี จึงมุ่งไปที่การพัฒนากล่องรับสัญญาณเวอร์ชั่นใหม่ระบบเอชดีและกล่องไอพีทีวี ผ่านโครงข่ายอินเทอร์เน็ต เพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคเปลี่ยนกล่องรุ่นเก่า(เอสดี) ที่ปัจจุบันมีสัดส่วนกว่า 80% ของตลาด

ปรับโครงสร้างยุคพีเอสไอ4.0

ขณะที่กลยุทธ์สร้างการเติบโตหลังจากนี้ ได้ปรับโครงสร้างเป็น "พีเอสไอ คอร์ปอเรชั่น" เพื่อก้าวสู่ยุค “พีเอสไอ 4.0” มุ่งวิจัยและพัฒนานวัตกรรมสินค้า ตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภค พร้อมขยายไลน์ธุรกิจใหม่ โดยใช้จุดแข็งของพีเอสไอ ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์รับสัญญาณดาวเทียมมากว่า 20 ปี ทำให้มีเครือข่ายช่างติดตั้งและซ่อมบำรุงสินค้าอิเล็คทรอนิกส์กว่า 10,000 คนทั่วประเทศ เพื่อทำตลาดสินค้าผ่านเครือข่ายช่างติดตั้งทั่วประเทศ

ในฝั่งของแพลตฟอร์มเครือข่าย ได้พัฒนาแอพพลิเคชั่น PSI FIXIT ซึ่งเป็นแอพเรียกช่างซ่อม ที่รวบรวมช่างมากที่สุดในประเทศไทย สามารถเลือกประเภทช่างที่ต้องการ พร้อมแสดงพิกัดและรายละเอียดข้อมูลของช่าง โดยผู้ใช้บริการสามารถแสดงความคิดเห็นและให้คะแนนความพึงพอใจการใช้บริการ

ปัจจุบันมีช่างที่ผ่านการอบรมและให้บริการติดตั้งและซ่อมสินค้าอิเล็คทรอนิกส์ในแอพ PSI FIXIT แล้วกว่า 2,000 คนทั่วประเทศ โดยมีเป้าหมายอบรมช่างติดตั้งเครือข่ายพีเอสไอกว่า 10,000 คนทั่วประเทศเพื่อให้บริการผ่านแอพดังกล่าว  ซึ่งจะเป็นอีกแหล่งรายได้ของกลุ่มช่างติดตั้งจานและกล่องทีวีดาวเทียมเดิม

พร้อมกันนี้ได้เปิดตัวแอพพลิเคชั่น PSI care แอพดูแลเก็บข้อมูลการลงทะเบียนผลิตภัณฑ์ของ PSI ทุกประเภทเริ่มตั้งแต่วันรับประกัน วันหมดประกัน และเก็บข้อมูลรายละเอียดต่างๆ สามารถลงทะเบียนผลิตภัณฑ์จากการสแกนบาร์โค้ดที่ตัวสินค้า หน้า timeline ของแอพจะแจ้งเตือนกำหนดการตรวจเช็คดูแลผลิตภัณฑ์พีเอสไอ ซึ่งเป็นแอพดูแลลูกค้าหลังการขายของพีเอสไอ

ขยายไลน์สินค้า‘สมาร์ทโฮม’

ทางด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ได้ปรับตัวขยายไลน์ธุรกิจผลิตและจำหน่ายสินค้ากลุ่มอิเล็คทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ตั้งแต่ปี2559 เริ่มด้วยการทำตลาด“กล้องวงจรปิด”พีเอสไอ โอซีเอส (Online Camera Security) โดยลงทุนเซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่รองรับผู้ใช้งาน 1 ล้านคน สามารถติดตามความเคลื่อนไหวในพื้นที่ติดตั้งกล้องผ่านแอพ PSI OCS การขยายไลน์สินค้าดังกล่าวสอดคล้องกับทิศทางการเติบโตของตลาดกล้องวงจรปิดในไทย วางเป้าหมายยอดขาย 5 หมื่นยูนิตต่อปี  

ช่วงต้นปีนี้ได้พัฒนาสินค้าและทำตลาดเพิ่มเติมในกลุ่ม "เครื่องปรับอากาศ”แบรนด์พีเอสไอ จำหน่ายผ่านตัวแทนช่างติดตั้งทั่วประเทศ สินค้าแอร์บ้าน พีเอสไอ มี 4 รุ่น คือ ขนาด 10,000 บีทียู,ขนาด 13,000 บีทียู,ขนาด 18,000 บีทียู และ 24,000 บีทียู ชูจุดขาย5 เช็คพอยท์ของผลิตภัณฑ์, ประหยัดไฟเบอร์5 และรับประกันเครื่อง 5 ปี โดยดูแลลูกค้าหลังการขายผ่านแอพ PSI care วางเป้าหมายยอดขายปีละ 50,000 เครื่อง และภายใน 3 ปีอยู่ที่ 1 แสนยูนิต รายได้กว่า 1,000 ล้านบาท

แนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์จะเน้นในกลุ่ม“สมาร์ทโฮม”เป็นหลัก เช่น อุปกรณ์สมาร์ทล็อก เครื่องกรองน้ำ ปั๊มน้ำ โดยทุกสินค้าจะอยู่ภายใต้การติดตั้งและดูแลผ่านทั้ง 2 แอพพลิเคชั่นของพีเอสไอ

เข็นบริษัทเข้าตลาดฯปี62

สมพร กล่าวว่าปัจจุบันรายได้หลักของบริษัทยังมาจากอุปกรณ์รับสัญญาณทีวีทั้งจานและกล่อง จากการทำตลาดในประเทศไทยปีละ 2.5-2.8 ล้านกล่อง นอกจากนี้ได้เข้าไปทำตลาดในกลุ่มอาเซียน  โดยมีแพลตฟอร์มพีเอสไอ เช่นเดียวกับประเทศไทย ปัจจุบันทำตลาดจานและกล่องอยู่ในประเทศ ลาว  เมียนมา และกัมพูชา  ซึ่งรับสัญญาณผ่านดาวเทียมไทยคมเช่นเดียวกัน รวมทั้งสามารถรับชมช่องทีวีจากประเทศไทย  ถือเป็นตลาดที่ยังมีแนวโน้มเติบโต 

หลังปรับโครงสร้างธุรกิจมุ่งพัฒนานวัตกรรมสินค้ากลุ่มสมาร์ทโฮมตั้งแต่ปี 2559  วางเป้าหมายภายในปี 2562 กลุ่มพีเอสไอ จะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย  โดยวางเป้าหมายรายได้ไว้ที่ 4,500 ล้านบาท สัดส่วน 70% มาจากธุรกิจจำหน่ายอุปกรณ์รับสัญญาณและให้เช่าทรานสปอนเดอร์ช่องทีวีดาวเทียม และอีก 30% มาจากกลุ่มโฮม โปรดักท์  ขณะที่ปีนี้คาดการณ์รายได้อยู่ที่ 3,000 ล้านบาท