'เกียรตินาคิน' ชี้ 5 เดือนโตแรง

'เกียรตินาคิน' ชี้ 5 เดือนโตแรง

เกียรตินาคินชี้ "5เดือน" โตแรง เอสเอ็มอี-สินเชื่อบ้านดันยอดรวมเพิ่ม 3% กรุงไทยรับปีนี้พลาดเป้าที่วางไว้ 4-6% เศรษฐกิจยังไม่ฟื้น ตั้งสำรองเพิ่มตามเอ็นพีแอลที่ยังสูงขึ้น

“เกียรตินาคิน” เผยต้นปีจนถึงปัจจุบันสินเชื่อโตแล้วกว่า 3% ผลจากสินเชื่อเอสเอ็มอีเล็กและสินเชื่อบ้านที่เติบโต และได้อานิสงส์จากสินเชื่อธุรกิจที่มากับวาณิชธนกิจ แต่ทั้งปียังไม่มั่นใจได้ตามเป้า 5% ต้องติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจด้านโบรกชี้สินเชื่อเกียรตินาคินเติบโตสูงสุดในกลุ่มธนาคาร

นายอภินันท์ เกลียวปฏินนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารเกียรตินาคิน กล่าวว่า ภาพรวมสินเชื่อของธนาคารจากต้นปีจนถึงปัจจุบันเติบโตได้ดี ในระดับ 3% จากปีก่อนหน้า ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากธนาคารได้เข้าไปทำสินเชื่อในกลุ่มที่ยังไม่เคยทำมาก่อน หรือในกลุ่มที่ไม่ได้โปรโมทมากนักในช่วงที่ผ่านมา เช่นสินเชื่อเอสเอ็มอีขนาดเล็ก ซึ่งมีพอร์ตสินเชื่อแล้ว 4-5 พันล้านบาท และสินเชื่อบ้าน มีพอร์ตสินเชื่อแล้ว 7 พันล้านบาท เป็นต้น

อีกทั้งธนาคารยังได้รุกตลาดสินเชื่อรถมือสอง ซึ่งเป็นตลาดที่มีการเติบโตดี และมีกำไร เพราะหากเป็นสินเชื่อรถใหม่ การแข่งขันค่อนข้างสูง ซึ่งธนาคารจะไม่ลงไปแข่งในกลุ่มที่ประเมินแล้วไม่คุ้มค่า หรือขาดทุน นอกจากนี้ยังได้มีตัวแทน หรือ Agent ช่วยขายสินเชื่อ 600 คน และมีแผนจะเพิ่มเป็น 1 พันคนในปีนี้ มีส่วนช่วยให้สินเชื่อเติบโต

การเติบโตของสินเชื่อ ยังมาสินเชื่อที่ได้มาหลังจากมีการควบรวมกิจการระหว่างเกียรตินาคินกับทางภัทร ซึ่งเป็นสินเชื่อที่มากับกลุ่มธุรกิจวาณิชธนกิจ เดิมที ภัทรไม่สามารถปล่อยกู้ได้ อย่างไรก็ตามส่วนนี้เป็นสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นชั่วคราว เมื่อมีดีลธุรกิจก็ถึงจะมีสินเชื่อส่วนนี้

“สินเชื่อปีนี้ยังมีการเติบโต ล่าสุดก็เติบโตแล้ว 3% แต่ปีนี้ตั้งเป้าสินเชื่อไว้ที่ 5% ก็ต้องติดตามสถานการณ์ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป เพราะเศรษฐกิจหลายส่วนก็ไม่ได้ดีมาก สำหรับเอ็นพีแอลก็ยังทรงๆ อยู่ เหมือนกับทุกที่ เพราะอุตสาหกรรมทางเอสเอ็มอีก็ไม่ได้ดี ขณะที่สินเชื่อธุรกิจก็ยังน่าเป็นห่วงอยู่ จากภาวะเศรษฐกิจที่ยังซึม ยอดขายอสังหาก็ยังไม่ได้ดี”

ขณะที่นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า สินเชื่อของธนาคารในปีนี้คาดว่าจะไม่เติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ที่ 4-6% เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ และการแข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้เกิดการแย่งชิงลูกค้า และกระทบต่อการขยายสินเชื่อของธนาคาร

โดยปีนี้สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ตั้งเป้าโต 4% สินเชื่อรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจเติบโต 2% สินเชื่อเอสเอ็มอีโต 5% และ สินเชื่อรายย่อยเติบโต 5%

“สินเชื่อคงเติบโตได้ในระดับฐานล่าง 4% ซึ่งก็เป็นเป้าหมายที่ท้าทายมาก พยายามทำอยู่ แต่ก็ยอมรับว่าเหนื่อยด้วยเหตุผลหลักๆ คือ ลูกค้าใหม่มีน้อย ก็แย่งกันเอง หมดจากแบงก์นี้ก็วิ่งไปแบงก์นั้น ประกอบกับ หนี้ครัวเรือนก็สูง เพราะฉะนั้นโอกาสที่จะต่อยอด หรือ เพิ่มสินเชื่อก็มีข้อจำกัด

นโยบายการตั้งสำรองปีนี้ยังเข้มข้นและตั้งสำรองเพิ่มขึ้น เนื่องจากหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ที่ยังเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากสินเชื่อรายย่อย และ ธุรกิจเอสเอ็มอี ซึ่ง 2-3 ปีที่ผ่านมา อัตราส่วนเงินสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage Ratio) ของธนาคารต่ำกว่า 100% ในบางเดือน แต่ขณะนี้ธนาคารมีนโยบายต้องไม่ต่ำกว่า 110% ไม่ว่าสถานการณ์จะผันผวนมากน้อยไหนเพียงใด ซึ่งปัจจุบันอยู่ในระดับ 112-113%

อย่างไรก็ตาม การบริหารเอ็นพีแอล ธนาคารมีการปรับรูปแบบการบริหารจัดการภายใน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือที่ใช้รูปแบบเดิม คือ การปรับโครงสร้างหนี้ แต่ขณะนี้มีเครื่องมือที่ต้องใช้ร่วมกัน คือ right off และ ตัดขายหนี้เสียออกไป ซึ่งต้องพยายามดำเนินการให้สอดคล้องกัน นอกจากนี้ได้เพิ่มมาตรการติดตามหนี้ เพื่อวางแนวทางไม่ให้หนี้ที่ชำระปกติไหลมาเป็นหนี้ค้างชำระ หรือ ค้างชำระ 1-2 เดือนไหลเข้าสู่ 90 วันจนกลาย NPL ได้

“เราเร่งดูสัญญาณตรงนี้เพิ่มขึ้นเพื่อเตือนภัยล่วงหน้า จะได้ไปคุยกับลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นการปรับโครงสร้างทางการเงิน หรือ เปลี่ยนกระบวนการทำงานเพื่อตอบสนองให้กับลูกค้าบางกลุ่มที่อาจจะสะดุดในบางจังหวะ บางเวลาได้ทันท่วงที ซึ่งตอนนี้ก็เร่งทำอยู่ แต่เหตุการณ์ใหญ่ๆ ที่เข้ามาเป็นเรื่องปกติของการบริหารพอร์ตสินเชื่ออยู่แล้ว แต่ว่าบางเคสก็ไม่ได้คาดคิดมาก่อนก็มี ก็ตั้งสำรองก็ต้องเพิ่มไปกับ เอ็นพีแอลที่เพิ่มขึ้น”

ด้านด้านนักวิเคราะห์จากบล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ระบุว่า สินเชื่อเดือนพ.ค.ของธนาคารพาณิชย์ 10 แห่งที่ศึกษาเพิ่มขึ้น 0.44% จากเดือนก่ออนหน้า และเมื่อเทียบกับสิ้นปีที่ผ่านมา สินเชื่อโตแล้ว 0.79% โดยสินเชื่อเติบโตเกือบทุกธนาคาร ยกเว้น แอลเอชแบงก์ ธนาคารกรุงเทพ และธนาคารทิสโก้เท่านั้นที่สินเชื่อหดตัว ซึ่งในไตรมาสนี้ สินเชื่อของเกียรตินาคินเติบโตสูงที่สุดเพิ่มขึ้น 2.34% และจากต้นปีจนถึงปัจจุบันเกียรตินาคินก็เติบโตสูงที่สุด 3.44%

ส่วนผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 2 อาจจะทรงตัวจากไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน สินเชื่อที่เติบโตน่าจะทำให้รายได้ของกลุ่มเติบโตได้ แต่การตั้งสำรองที่อาจจะเพิ่มขึ้นสูงขึ้นตามการเพิ่มขึ้นของเอ็นพีแอล รวมถึงการตั้งสำรองพิเศษจากสินเชื่อที่อาจจะถูกจัดชั้นเป็นเอ็นพีแอล ของลูกค้าธุรกิจเหมืองถ่านหินในบางธนาคาร