ไทยแอร์เอเชีย-ททท.ดันไทยเบียดแชมป์ชอปปิงเอเชีย

ไทยแอร์เอเชีย-ททท.ดันไทยเบียดแชมป์ชอปปิงเอเชีย

ไทยแอร์เอเชียผนึกททท. ถ่วงดุลตลาดชอปปิงมหาอำนาจเอเชีย “สิงคโปร์-ฮ่องกง” พลิกเกมดึงนักท่องเที่ยวมาไทย เจาะตลาดคนรุ่นใหม่เวียดนาม ชูจุดขายสินค้าหลากหลายนอกเหนือชอปปิงแบรนด์เนม

นายสันติสุข คล่องใช้ยา ผู้อำนวยการฝ่ายการพาณิชย์ สายการบินไทยแอร์เอเชีย กล่าวว่า ร่วมมือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จัดกิจกรรมส่งเสริมการใช้จ่ายสินค้าของนักท่องเที่ยวภายใต้โครงการ “ไทยแลนด์ ชอปปิง แอนด์ ไดนนิ่ง พาราไดส์ 2017” ในปีนี้วางกลุ่มเป้าหมายตลาดหลัก 3 ประเทศ ได้แก่ ฮ่องกง, สิงคโปร์ และเวียดนาม โดยจัดการแข่งขันชอปปิงรายการ “เดอะ ท็อป ช้อปเปอร์” นำตัวแทนจาก 3 ประเทศ รวมถึงบล็อกเกอร์ที่มีอิทธิพลร่วมติดตามกิจกรรม วางเส้นทางแข่งขันเสนอความหลากหลายของแหล่งชอปปิงในประเทศไทย วางจุดเด่นไว้ทั้งการจับจ่ายในห้างสรรพสินค้าหรู, อาหารสตรีทฟู้ด, ตลาด อ.ต.ก., ย่านสำเพ็ง เป็นต้น

ทั้งนี้ การมุ่งเป้าจับตลาด 3 ตลาดดังกล่าว เนื่องจากมีส่วนแบ่งคิดเป็น 30% ของผู้โดยสารต่างชาติทั้งหมดของไทยแอร์เอเชีย และการเลือกส่งเสริมผ่านการชอปปิง เนื่องจากเป็นกิจกรรมที่ตรงกับความสนใจของนักท่องเที่ยวเดินทางด้วยตัวเอง (FIT) ที่ทั้ง 3 ตลาดนี้มีสัดส่วนค่อนข้างมาก ถือว่าเป็นไปตามเทรนด์ของการเดินทางที่ปัจจุบันเป็น FIT กว่า 70-80% เมื่อเทียบกับกรุ๊ปทัวร์ที่มีอยู่ราว 20-30% และยังหลงเหลืออยู่ในบางตลาดเท่านั้น เช่น จีน เป็นต้น

การเลือกเจาะตลาดสิงคโปร์ และฮ่องกง แม้ว่าทั้งสองประเทศจะเป็นคู่แข่งของไทยด้านการเป็นจุดหมายด้านชอปปิงอยู่แล้วนั้น เพราะเชื่อว่าสามารถทำให้เกิดความสมดุลในการเดินทางทั้งสองขาได้ เนื่องจากประชากรจากทั้งสองประเทศอาจไม่ได้ต้องการชอปปิงในประเทศตัวเองเท่านั้น แต่ให้ความสนใจกับไทยมากกว่า ในฐานะที่มีแหล่งชอปปิงหลากหลายที่หาในประเทศเหล่านั้นไม่ได้ เช่น อตก., ตลาดนัดสวนจตุจักร ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยวเอเชียอย่างมาก

ส่วนการเลือกตลาดเวียดนาม เพราะถือเป็นกลุ่มกำลังซื้อดาวรุ่ง โดยเฉพาะเมื่อเปิดเส้นทางบินตรงกรุงเทพฯ – ดานัง ทำให้ขยายฐานลูกค้าครอบคลุมภาคกลาง มากขึ้น อีกทั้งตลาดยังมีความหลากหลายทั้งกลุ่มเจนเอ็กซ์และเจนวาย และมีกิจกรรมชอปปิงเป็นหนึ่งในตัวดึงดูดสำคัญในการเดินทางท่องเที่ยว

ทั้งนี้ สัดส่วนลูกค้าของไทยแอร์เอเชียในปัจจุบัน มีกลุ่มคนอายุ 20-39 ปีมากที่สุดกว่า 50% และรองลงมาเป็นกลุ่มคนอายุ 40-49 ปี สัดส่วน 20%

ด้านนายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการ ททท.กล่าวว่า ในปีนี้วางเป้าหมายส่งเสริมตลาดชอปปิงในโครงการนี้ว่าจะทำให้เกิดรายได้สะพัด 5,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 3,000 ล้านบาท การโฟกัสตลาดสิงคโปร์ และฮ่องกง ที่ต่างสนับสนุนตลาดชอปปิงเช่นกันนั้น ส่วนหนึ่งเพื่อจะถ่วงสมดุล และแสดงให้เห็นว่า ไทยมีความหลากหลาย และเพียงพอกระทั่งส่งเสริมให้ตลาดที่เป็นผู้นำด้านการชอปปิงอยู่แล้ว ยังต้องเดินทางมาไทย เนื่องจากมีเอกลักษณ์ในด้านการจำหน่ายสินค้าที่แตกต่าง และสามารถกระจายไปยังภูมิภาคต่างๆ ไม่กระจุกตัวอยู่เฉพาะการชอปปิงสินค้าแบรนด์เนมเท่านั้น

ดังนั้น ในปีนี้ มีแผนการขยายกลุ่มเป้าหมายไปยังบริเวณตะเข็บชายแดน 2 แห่ง ที่ จ.ตาก และ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ซึ่งนอกจากจะมีการค้าชายแดนทั่วไปแล้ว ยังพบว่ามีกลุ่มเป้าหมายเศรษฐีจากเมียนมา และกัมพูชา นิยมข้ามแดนมาจับจ่ายสินค้า และสามารถกระตุ้นการจับจ่ายด้วยการร่วมมือกับห้างร้านในท้องถิ่น สนับสนุนให้เข้าร่วมโครงการมากขึ้น โดยเฉพาะแหล่งค้าอัญมณีที่จ.ตาก ซึ่งมีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่ง สามารถส่งเสริมเป็นสินค้าเป้าหมายของการชอปปิงของชาวต่างชาติได้ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การกระจายรายได้ด้านท่องเที่ยวด้วย

ทั้งนี้ การปรับกลยุทธ์จากอะเมซิ่ง ไทยแลนด์ แกรนด์เซล มาเป็นชอปปิง พาราไดส์ เนื่องจากเล็งเห็นแล้วว่า ไทยน่าจะสร้างจุดเด่นด้านการชอปปิงที่แตกต่างกับเพี่อนบ้าน โดยมองว่าแหล่งชอปปิงของไทยมีเอกลักษณ์ แตกต่างและหลากหลาย และมีคุณค่า ไม่จำเป็นต้องใช้กลยุทธ์ลดแลกแจกแถมมาเป็นตัวนำ แต่จะเน้นเรื่องความคุ้มค่ามากกว่า และร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเพิ่มขึ้น เช่น ร่วมมือกับบัตรเครดิตจากผู้ให้บริการหลายราย ที่เชี่ยวชาญและมีตลาดเฉพาะของแต่ละประเทศมากขึ้น