ลังกาวี เกาะแห่งนกอินทรี อัญมณีที่ไม่ควรมองข้าม

ลังกาวี เกาะแห่งนกอินทรี อัญมณีที่ไม่ควรมองข้าม

จากเกาะแห่งตำนานว่าด้วยคำสาปของพระนางมะห์สุหรีที่คนไทยรู้จักกันดี มหาเธร์ โมูฮัมมัด ได้วางแผนพัฒนาเปลี่ยนเกาะต้องสาปให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ให้สมกับนามที่ได้รับจากสุลต่านว่า “อัญมณีแห่งไทรบุรี”

บินตรงจากกัวลาลัมเปอร์ไปเกาะลังกาวีใช้เวลาราว 1 ชั่วโมง แต่จริงๆ แล้วถ้าข้ามฝั่งจากประเทศไทย ที่จ.สตูลก็ใกล้และสะดวกมาก เพราะท่าเรือสตูลห่างจากท่าเรือลังกาวีเพียง 4 กิโลเมตรเท่านั้น ระยะทางแค่นี้แต่เหมือนสุดเอื้อม เพราะคนไทยที่อยู่ในภูมิภาคอื่นอาจไม่ค่อยได้มาที่ลังกาวีสักเท่าไหร่ อาจเพราะมองข้ามอัญมณีที่ใกล้มือเกินไป

หมู่เกาะลังกาวี ประกอบด้วยเกาะเล็กเกาะน้อยมากมาย โดยมีเกาะหลักคือ ลังกาวี ชื่อนี้ผันมาจากคำ 2 คำคือ ฮลัง (Helang) ที่แปลว่านกอินทรี และกาวีที่แปลว่าหินสีแดงชนิดหนึ่ง สัญลักษณ์ของเกาะลังกาวีคือนกอินทรีสีน้ำตาลแดง ซึ่งมีรูปปั้นขนาดยักษ์ตระหง่านอยู่ที่จัตุรัสนกอินทรี (Helang Square) ถ้าใครข้ามเรือมาขึ้นท่าที่เกาะลังกาวีก็จะเห็นนกอินทรีนี้กางปีกสูงรอต้อนรับอยู่

จากเกาะที่มีตำนานว่าด้วยคำสาปของพระนางมะห์สุหรี หรือพระนางเลือดขาว และหาดทรายดำ ที่คนไทยรู้จักกันดี มหาเธร์ โมูฮัมมัด นากยกรัฐมนตรีของมาเลเซียในขณะนั้นได้วางแผนพัฒนาเปลี่ยนเกาะต้องสาปให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ให้สมกับนามที่ได้รับจากสุลต่านว่า “อัญมณีแห่งไทรบุรี” เพราะธรรมชาติแบบป่าฝนเขตร้อนชื้นที่อุดมสมบูรณ์และภูมิประเทศเกาะที่เหมาะเป็นสถานพักผ่อน จะนอนชมวิวกินข้าวริมทะเล หรือสนุกกับกิจกรรมกลางแจ้งทั้งลุยป่า และกิจกรรมทางน้ำหลากแนวก็มีให้เลือกมากมาย

เรามาถึงเกาะลังกาวีปลายเดือนพฤษภาคมที่อุณหภูมิเฉลี่ยราว 30 องศาเซลเซียส แต่แอพพลิเคชั่นพยากรณ์อากาศบอกว่าให้ความรู้สึกราวกับ 40 องศา ซึ่งก็จริง ด้วยความชื้นสัมพัทธ์สูงที่ถึง 78 เปอร์เซ็นต์ พูดง่ายๆ คือชื้นอบอ้าวพอสมควร การไปเยี่ยมชมสบตากับรูปปั้นนกฮลังก่อนพระอาทิตย์จะตกดินนั้นทำเอาเหงื่อตก แต่ถ้าไม่มาก็อาจเรียกว่าไม่ถึงลังกาวีก็เป็นได้ ช่วงเดือนนี้อุณหภูมิที่ลังกาวีเย็นลงนิดหน่อย แต่ก็คงได้เจอฝนกันบ้าง ไม่ใช่เพียงเพราะอยู่ในฤดูฝน แต่เพราะที่นี่มีฝนตกเกือบทั้งปี จะมีช่วงปลอดฝนเพียงเดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์เท่านั้น แต่ความชุ่มชื้นนี้ก็นำมาซึ่งความอุดมสมบูรณ์ และลักษณะเฉพาะที่ทำให้ลังกาวีโดดเด่นเรื่องกิจกรรมผจญภัย

ลังกาวี เกาะแห่งนกอินทรี อัญมณีที่ไม่ควรมองข้าม

Resort World Langkawi

หลังจากที่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเปลี่ยนวิถีชีวิตชาวลังกาวีจากสังคมเกษตรสู่ธุรกิจบริการ ส่วนหนึ่งการทำนาก็ยังคงอยู่ แต่กับการทำประมงนั้นได้แปลงมาสู่กิจกรรมท่องเที่ยวทางทะเล แม้แผนเปลี่ยนลังกาวีให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวถูก ริเริ่มมาตั้งแต่ปี 2529 แต่การพัฒนาก็ยังมีอยู่ต่อเนื่อง รีสอร์ท ร้านค้า และธุรกิจท่องเที่ยวใหม่ๆ ยังคงผุดขึ้นให้เห็นตลอด รวมถึงการปรับโฉมของรีสอร์ทหรูที่อยู่มานานหลายแห่ง เช่นที่ Resort World Langkawi ที่เราไปพักก็เช่นกัน ที่นี่นับเป็นรีสอร์ทแรกๆ ที่สร้างขึ้นตอบสนองกระแสท่องเที่ยวของลังกาวี รีสอร์ทซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของ Resort World Genting มีบรรยากาศสงบแตกต่างจากโรงแรมบวกคาสิโนบนยอดเขาลิบลับ

ลังกาวี เกาะแห่งนกอินทรี อัญมณีที่ไม่ควรมองข้าม

Resort World Langkawi เป็นอาคาร 3 ชั้นหันหน้าเข้ามหาสมุทร วางตัวเป็นแนวยาวเลียบทะเล พร้อมท่าเรือส่วนตัว เมื่อล่องเรือออกไปแล้วมองกลับมาดูคล้ายเป็นปราการในสถาปัตยกรรมแบบคลาสสิค ด้วยความที่ผ่านกาลมาร่วม 20 ปีจึงมีความขรึมขลังอยู่ในบรรยากาศ แต่ภายในห้องพักนั้นรีโนเวทใหม่ในแนวโมเดิร์น แต่ดูอบอุ่นผ่อนคลายด้วยการจับคู่สีขาว สีไม้อ่อนนวลตา กับสีฟ้า เหลือง ส้ม โดยคู่สีแตกต่างกันไปในแต่ละห้อง ให้กลิ่นอายเหมือนเมืองแถบเมดิเตอเรเนียน ห้องพักฝั่ง Sea View พิเศษกว่าฝั่งติดสวนตรงที่มีระเบียงกว้างให้ออกไปนั่งชมวิว ออกกำลังกายเบาๆ รับแสงอาทิตย์ยามเช้าก็ยังได้ ห้องพักที่นี่มีให้เลือกหลายแบบ ที่โดดเด่นคือ Signature Suite เป็นเพนท์เฮาส์ขนาดใหญ่ 2 ห้องนอน พร้อมห้องนั่งเล่น พักผ่อน ครัว สปาส่วนตัว ดาดฟ้า และทางขึ้นเฉพาะของตัวเอง

แม้ที่นี่จะไม่มีชายหาด แต่ทดแทนกันด้วยกิจกรรมท่องธรรมชาติ ทั้งป่าและทางน้ำที่มีให้เลือกมากมาย

ล่องธรรมชาติเสี้ยวหนึ่งของลังกาวี

เราเคยไปเที่ยวป่าโกงกางหลายครั้ง แต่ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ป่าที่ขนาดไม่กี่ตารางกิโลเมตร หรือเป็นทางเดินระยะทางอย่างมากไม่เกิน 2 กิโลเมตรให้เดินชมเท่านั้น แต่สำหรับทัวร์ป่าโกงกางที่อุทยานธรรมชาติคิลิม (Kilim Karst Geoforest Park) นี้ สปีดโบ๊ทพาล่องไปในพื้นที่ป่าโกงกางกว้างใหญ่กว่า 100 ตารางกิโลเมตร มีจุดแวะให้ชมตลอดทาง ตั้งแต่พื้นที่ป่าของลิงแสม โซนป่าที่มีงูชุกชุม (หากโชคดีจริงๆ อาจได้เห็นสักตัว) จุดชมนกอินทรีที่เหมือนฝึกมาให้เป็นดาราหน้ากล้อง เพียงมีเรือแล่นเข้าไปจอด นกอินทรีที่เกาะนิ่งอยู่ที่ยอดไม้ก็เริ่มพากันโบกบินโฉบน้ำจับเหยื่อโชว์นักท่องเที่ยวราวกับนัดหมายมาเป็นอย่างดี ไกด์ยืนยันว่านกอินทรีเหล่านี้เป็นนกธรรมชาติ ไม่มีใครไปสอนหรือเป็นเจ้าของ แต่อินทรีเรียนรู้จากการที่เรือท่องเที่ยวบางลำโปรยเหยื่อให้อาหารมาแรมปี นกที่มีสายตาดีที่สุดในโลกจึงทำหน้าที่นี้อย่างไม่บกพร่อง เคยเห็นเหยี่ยวโฉบน้ำมาแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นนกอินทรีจำนวนมากขนาดนี้ และไม่ได้มีแค่อินทรีสีน้ำตาลแดงเท่านั้น ยังมีสายพันธุ์อื่นๆ ที่ไกด์ชี้ชวนให้สังเกตดู อย่างอินทรีท้องขาวที่มีปีกสีเทาดำด้วย

ลังกาวี เกาะแห่งนกอินทรี อัญมณีที่ไม่ควรมองข้าม

แต่เดิมในป่าโกงกางนี้มีการนำไม้โกงกางมาเผาถ่านทำฟืน แต่หลังจากที่วนอุทยานแห่งนี้ได้ขึ้นทะเบียนยูเนสโกเป็นมรดกโลกแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้ว ธรรมชาติทุกอย่างถูกอนุรักษ์ไว้ไม่ให้มีการเปลี่ยนแปลงสภาพใดๆ แต่ร่องรอยยังคงอยู่เป็นชั้นดินที่มีสีดำสลับอยู่ให้เห็นหลักฐานการใช้ชีวิตแต่โบราณของที่นี่

เรือล่องยาวมายังถ้ำจระเข้ ที่ไม่มีจระเข้อาศัยอยู่อีกแล้ว มีแต่หินปากถ้ำรูปทรงเหมือนหัวจระเข้เท่านั้น ต้องอาศัยจินตนาการเล็กน้อยในการวาดตัวจระเข้ทอดข้ามมายังปากถ้ำ หากล่องเรือลำเล็กมาในช่วงน้ำลงก็สามารถพาลอดถ้ำเข้าไปได้เหมือนกัน แต่คณะเราที่มาด้วยเรือหลังคาสูงก็หมดสิทธิ์ ดูด้วยตาแล้วไม่น่าเหมาะกับคนกลัวที่แคบสักเท่าไหร่

ลังกาวี เกาะแห่งนกอินทรี อัญมณีที่ไม่ควรมองข้าม

ต่อด้วยถ้ำค้างคาว คราวนี้มีค้างคาวอาศัยอยู่จริงๆ เป็นถ้ำเปิดสำหรับการท่องเที่ยว มีหินงอกหินย้อยให้ชมพอประมาณ กับค้างคาวฝูงจริง ซึ่งย้ายจุด “นอน” ไปมา จนเกิดร่องรอยของการเกาะในพื้นที่เก่า คงเพราะรำคาญคนที่มาดู แต่ต่อให้ย้ายไปที่ใหม่ก็ยังถูกไฟส่องชมอยู่ดี ถ้ำที่เปิดให้เข้าชมนี้มีระยะทางสั้นๆ ไม่น่าถึง 300 เมตรด้วยซ้ำ ซึ่งเราโอเคกับการที่เปิดให้ดูแค่นี้ เพราะเคยสัมภาษณ์นักสำรวจถ้ำ เขาบอกว่าถ้ำที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวนั้น จะ “ตาย” จากการถูกรบกวนอย่างหนัก แต่ในทางหนึ่งก็ต้องเปิดให้คนได้เข้าไปทำความรู้จัก “ลิ้นชักของธรรมชาติ” บ้าง เข้าใจว่าที่นี่คงยังมีถ้ำอีกมากมายซึ่งอนุรักษ์ไว้โดยธรรมชาติไม่เปิดให้คนเข้าชม

ปิดท้ายทัวร์วนอุทยานคิลิมด้วยการแล่นเรือไปยังปากอ่าว ให้ชมบรรยากาศระหว่างแม่น้ำรอบป่าโกงกางไปถึงรอยต่อออกสู่ทะเล คลื่นลมแรงขึ้นท่ามกลางเกาะเล็กเกาะน้อยที่อนุรักษ์ไว้ให้ยังเป็นของธรรมชาติ เหมือนดินแดนลึกลับที่มนุษย์ควรใช้ตาและใจสัมผัสเท่านั้น

ด้วยเวลาแค่ 2 คืนเราจึงได้สัมผัสเพียงเสี้ยวหนึ่งของเกาะลังกาวี ที่นี่ยังมีอะไรอีกมากมายให้ค้นหา แม้ความรู้สึกจะไม่แผกจากจังหวัดภาคใต้ของไทยมาก แต่ก็ให้ประสบการณ์ที่แตกต่างกันจริงๆ

///////////////////////////

Sunset Dinner Cruise

มาถึงลังกาวีแล้ว ควรไปล่องเรือชมพระอาทิตย์ตกดิน Sunset Dinner Cruise ของ Tropical Charters Langkawi บนยอทช์ขนาดกลาง ที่มีมื้อเย็นเป็นบุฟเฟ่ต์บาบีคิวพร้อมเครื่องดื่มฟรีโฟลว์ตลอดตั้งแต่ 5 โมงเย็นถึง 2 ทุ่ม เรือลำไม่ใหญ่แต่จุคนได้หลายสิบ เพราะมีดาดฟ้าให้เปิดฟลอร์แดนซ์กันหลังอาทิตย์ลับขอบฟ้า

ลังกาวี เกาะแห่งนกอินทรี อัญมณีที่ไม่ควรมองข้าม

การล่องเรือในทะเลที่เงียบสงบอาจดูธรรมดาไป ถ้าไม่มีกิจกรรมสนุกๆ อย่าง Salt Water Jacuzzi Net ให้กระโดดน้ำจากท้ายเรือว่ายไปหัวเรือที่มีไลฟ์การ์ดคอยรอรับอยู่ จะขึ้นเรือแล้วไปโดดน้ำอีกกี่รอบก็ได้ หรือจะแช่อยู่ในจากุชชี่น้ำทะเลที่มีตาข่ายให้ยึดเกาะ ล้อมไว้ด้วยเชือกอีกชั้นไม่ให้หลุดไปกับสายน้ำ ไลฟ์การ์ดของเราเป็นสาวใหญ่ชาวเยอรมันที่มาอยู่ลังกาวีหลายปีแล้ว งานหลักของเธอเป็นแพทย์เฉพาะทางด้านเท้า ตกเย็นเธอก็มาเป็นไลฟ์การ์ดให้กับที่นี่ เพราะเป็นคนชอบว่ายน้ำ ออกกำลังกาย และเป็นเพื่อนกับเจ้าของด้วย เธออยู่ในชุดเว็ทสูทคอยคว้านักท่องเที่ยวที่หัวเรือด้วยมืออันแข็งแกร่ง และดุด้วยถ้าใครไม่ทำตามกฎ แน่นอนว่าการว่ายน้ำในทะเลเปิด แม้จะเป็นช่วงสั้นๆ ก็มีความเสี่ยงอยู่ ในเรือจึงมีทั้งชูชีพให้สำหรับคนที่ว่ายน้ำไม่แข็ง หรือไม่เคยว่ายแบบ Open Water พร้อมทั้งเรือเล็กเอาไว้ตามเก็บคนที่ “หลุด” ไป แต่จริงๆ ไม่ได้อันตรายขนาดนั้น เพราะเขาปล่อยให้กระโดดทีละคน จากท้ายเรือให้ไลฟ์การ์ดรับได้ทัน กิจกรรมนี้สนุกดี แต่มีเวลาจำกัด อย่าเผลอชมวิวจนหมดเวลาล่ะ

ปิดท้ายด้วยการชมพระอาทิตย์ตกดินที่สวยงาม จนนักท่องเที่ยวหลายคนหยุดถ่ายรูปไม่ได้ พอฟ้ามืดสนิทเพลงก็ขึ้น ถึงเวลาแดนซ์ที่นักท่องเที่ยวนานาชาติสามารถพูดภาษาเดียวกันขึ้นมาได้ ผ่านการขยับร่างกายอย่างสนุกสนาน

ราคาสำหรับ Sunset Dinner Cruise คือ 275 ริงกิตต่อคน อย่าลืมเตรียมชุดว่ายน้ำ ผ้าขนหนู ครีมกันแดด แล้วก็กล้องไปให้พร้อมด้วยล่ะ