'อีสต์โคสท์' จ่อล้มดีลซื้อโรงไฟฟ้า

'อีสต์โคสท์' จ่อล้มดีลซื้อโรงไฟฟ้า

อีสต์โคสท์จ่อ "ล้มดีล" ซื้อโรงไฟฟ้า หลังจากเจรจาซื้อโรงไฟฟ้าทรู เอ็นเนอร์ยี่ จากไอเฟคไม่คืบ ขีดเส้นปิดแผนส.ค.นี้ พร้อมเข้าซื้อโครงการอื่น

อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค ยอมรับการเข้าซื้อ โรงไฟฟ้า ทรู เอ็นเนอร์ยี่ ส่อล่ม เหตุเจรจากับไอเฟคไม่คืบหน้า เนื่องจากไร้ผู้เจรจาจากฝั่งไอเฟค เผยหากเดินหน้าซื้อขายต่อต้องประเมินทรัพย์สินใหม่ คาดชัดเจนภายในเดือนส.ค. ยันรายได้ปีนี้โตสูง 

นายอารักษ์  สุขสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค จำกัด (มหาชน) ECF เปิดเผยว่า บริษัทได้ยื่นหนังสือแจ้งเตือนไปยังบริษัท อินเตอร์ ฟาร์อีสท์ เอ็นเนอร์ยี่ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) IFEC เพื่อทวงถามความคืบหน้าในการเข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวล บริษัท ทรู เอ็นเนอร์ยี่ เพาเวอร์ ลพบุรี จ ากัด (“TRUE-P”) มูลค่า 335 ล้านบาท  ที่บริษัทได้เสนอซื้อโครงการดังกล่าว โดยขณะนี้ โครงการมีความล่าช้ากว่า 5 เดือน และบริษัทคาดหวังให้มีความชัดเจนภายในเดือน ส.ค.นี้ 

“บริษัทได้แจ้งเตือนการไปแล้ว เพราะการทำรายการล่าช้ามา 5 เดือน โดยที่ผ่านมาบริษัทไม่ได้นิ่งนอนใจและพูดคุยกับผู้บริหารทั้ง 2 ฝั่งที่มีความขัดแย้ง แต่พบว่าไม่ได้รับการตอบรับเราคาดหวังว่าเรื่องนี้น่าจะมีความชัดเจนในช่วงเดือนส.ค.”

ทั้งนี้ หากทางไอเฟคตอบรับและเดินหน้าในการขายโรงไฟฟ้าให้กับบริษัทนั้น ต้องมีการเข้าตรวจสอบฐานะกิจการ (Due Diligence)ใหม่ เนื่องจากระยะเวลาการเข้าตรวจสอบในรอบที่ผ่านมา นานกว่า 5 เดือน ทำให้ทรัพย์สินต่างๆ อาจมีการเปลี่ยนแปลง และถ้าการเข้าซื้อโครงการครั้งนี้ถูกยกเลิกนั้น บริษัทก็จะเลือกเข้าลงทุนในโครงการอื่นๆ ที่อยู่ในแผนต่อไป โดยปัจจุบันมีการศึกษาเพื่อเข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าชีวะมวล 2-3 ราย และคาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็วๆ นี้ 

ส่วนความคืบหน้าของการลงทุนผ่านบริษัทลูก ในโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ขนาด 220 เมกะวัตต์ ของบริษัท พลังงานเพื่อโลกสีเขียว (ประเทศไทย) จำกัด (GEP) ที่เมือง มินบู รัฐมาเกวย ประเทศสาธารณรัฐแห่งสภาพเมียนมา โดยเข้าซื้อหุ้นของบริษัท GEP ในสัดส่วน 20 % ปัจจุบันได้ดำเนินการแล้วเสร็จ และอยู่ระหว่างการซื้อขายหุ้น และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนนี้ โดยโครงการดังกล่าวนั้นแบ่งออกเป็น 4 ระยะ ระยะที่1 เดินเครื่องกำลังการผลิต  50 เมกะวัตต์ คาดว่าจะสามารถจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ได้ภายในไตรมาสที่ 1 ของปี 2561 

ส่วนแผนการดำเนินงานของบริษัทในปีนี้ คาดว่าจะสามารถสร้างการเติบโตของรายได้สูงกว่าปีก่อน 15 % ที่มีรายได้ 1,427.74 ล้านบาท ทิศทางในช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ยังเป็นไปตามแผนของบริษัท มีรายได้รวม 409.74 ล้านบาท ยอดขายในเฟอร์นิเจอร์ในประเทศยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง เป็นผลมาจากสินค้าการเกษตรมีทิศทางของราคาที่ดี ส่วนตลาดต่างประเทศโดยเฉพาะในกลุ่มตะวันออกการมีการเติบโตที่สูง เช่นเดียวกับตลาดในประเทศญี่ปุ่น