‘เอ็มดีใหม่’ไมโครซอฟท์ไทยดันคลาวด์หนุนเกษตร

‘เอ็มดีใหม่’ไมโครซอฟท์ไทยดันคลาวด์หนุนเกษตร

ผนึกมูลนิธิสายใยแผ่นดิน-บีทามส์ โซลูชั่น หนุนโครงการกาแฟอินทรีย์รักษาป่า หวังเพิ่มความถูกต้อง ลดค่าใช้จ่าย-เวลาตรวจรับรองมาตรฐานอินทรีย์ ตั้งเป้ายกระดับผลผลิตกาแฟพร้อมรักษาป่าต้นน้ำกว่า 20,000 ไร่ ภายในปี 2568

ธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ เอ็มดี ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย (ขวาสุด) ร่วมหนุนโครงการกาแฟอินทรีย์รักษาป่า

เอ็มดีคนใหม่ “ไมโครซอฟท์” ประเทศไทยสานต่อแคมเปญ 'คลาวด์' เพื่อสาธารณะประโยชน์ ผนึกมูลนิธิสายใยแผ่นดิน-บีทามส์ โซลูชั่น หนุนโครงการกาแฟอินทรีย์รักษาป่า หวังเพิ่มความถูกต้อง ลดค่าใช้จ่าย-เวลาตรวจรับรองมาตรฐานอินทรีย์ ตั้งเป้ายกระดับผลผลิตกาแฟพร้อมรักษาป่าต้นน้ำกว่า 20,000 ไร่ ภายในปี 2568 


นายธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวภายหลังรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 มิ.ย.ที่ผ่านมาว่า บริษัทได้ขยายผลการสนับสนุนเทคโนโลยีคลาวด์ให้องค์กรไม่แสวงผลกำไรในประเทศไทยต่อเนื่อง

ล่าสุด ร่วมมือกับ มูลนิธิสายใยแผ่นดิน และ บริษัท บีทามส์ โซลูชั่น จำกัด ผู้พัฒนาแอพพลิเคชั่นการตรวจรับรองมาตรฐานภายใน (Internal Control System) นำ ไมโครซอฟท์ อาซัวร์ ไปยกระดับการตรวจสอบกระบวนการและผลผลิตกาแฟในโครงการกาแฟอินทรีย์รักษาป่า

โดยผลที่ได้ ด้วยกระบวนการการจัดเก็บข้อมูลและประมวลผลผ่านคลาวด์สามารถช่วยพนักงานประหยัดระยะเวลา และขั้นตอนตรวจรับรองมาตรฐานอินทรีย์ได้รวดเร็วขึ้น จากเดิมใช้เวลา 4 เดือนเหลือเพียง 1 เดือน หรือลดลงกว่า 75% ทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการระบบการตรวจสอบสวนกาแฟ เพิ่มขีดความสามารถการทำงานของพนักงาน

แผนของไมโครซอฟท์ปีนี้ การสนับสนุนหลักๆ ยังคงเน้นที่เทคโนโลยีคลาวด์ โดยเฉพาะพื้นที่ห่างไกลที่ยังไม่เข้าถึงเทคโนโลยี กลุ่มที่มีความสำคัญต่อประเทศเช่นอาหาร การเกษตร ทั้งเตรียมร่วมมือกับพันธมิตรใหม่ๆ เพื่อขยายผลไปยังพืชผลอื่นๆ ต่อไป

นายธนวัฒน์ กล่าวว่า จากปี 2559 ไมโครซอฟท์ ได้บริจาคซอฟต์แวร์ให้กับองค์กรไม่แสวงผลกำไรต่างๆ ในประเทศไทย กว่า 430 แห่ง รวมมูลค่ากว่า 70 ล้านบาท พร้อมช่วยฝึกอบรมความรู้ด้านเทคโนโลยีโดยไม่มีค่าใช้จ่าย

ไมโครซอฟท์ มุ่งทำงานในฐานะพันธมิตรระยะยาวเพื่อนำเทคโนโลยีคลาวด์มาลดช่องว่าง สร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึงเทคโนโลยี เชื่อว่าแนวคิด “คลาวด์สาธารณะ เพื่อสาธารณประโยชน์ (Public Cloud for Public Good) จะสามารถสร้างศักยภาพ ปกป้อง และสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้นำไปใช้

นายธีรสิทธิ์ อมรแสนสุข รองประธาน มูลนิธิสายใยแผ่นดิน กล่าวว่า ความคืบหน้าการดำเนินงาน ทางมูลนิธิได้ร่วมมือกับทางกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธ์พืช เกษตรกร 350 ครอบครัว ใน 9 หมู่บ้าน สามารถอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าไปกว่า 8,000 ไร่ ใน 3 ป่าต้นน้ำของอุทยานขุนแจและลำน้ำกก ในแผนจะทำให้ได้ถึง 20,000 ไร่ ภายในปี 2568

โดยกาแฟนับเป็นพืชสร้างรายได้ซึ่งสามารถปลูกได้โดยไม่ต้องไปตัดไม้ทำลายป่าและไม่ต้องใช้สารเคมีใดๆ อีกทางหนึ่งการเข้าถึงข้อมูลผ่านเทคโนโลยีคลาวด์ ช่วยให้องค์กรสามารถทำงานให้สำเร็จได้รวดเร็ว ถูกต้อง แม่นยำ ประหยัดค่าใช้จ่าย และมีประสิทธิภาพ มากกว่านั้นช่วยเสริมความรู้ความเข้าใจให้แก่พนักงานและเกษตรกรที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลให้มีทักษะในการใช้เทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์ ทำการเกษตรได้อย่างยั่งยืน พร้อมปกป้องความเป็นอยู่ของคนในชุมชนได้ในระยะยาว

นายสนธยา สุธัมมสภา ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท บีทามส์ โซลูชั่น จำกัด กล่าวว่า แอพพลิเคชั่นไอซีเอสถูกออกแบบมาให้ใช้งานได้ทั้งแบบออฟไลน์และออนไลน์ โดยคลาวด์มีส่วนสำคัญช่วยลดค่าใช้จ่าย ทั้งไม่จำเป็นต้องลงทุนระบบโครงสร้างพื้นฐานไอทีเอง

“ความสำเร็จครั้งนี้ เห็นได้ชัดเจนทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ลดการใช้กระดาษในกระบวนการผลิตกาแฟตามมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ พร้อมเพิ่มผลผลิต ต่อไปยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับพืชเกษตรอินทรีย์ประเภทอื่นได้ด้วย”

อนาคตมูลนิธิตั้งเป้ายกระดับมาตรฐาน โดยการนำเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตออฟธิงส์(ไอโอที) ทางการเกษตรมาใช้บริหารจัดการช่วงเพาะปลูก โดยจะมีการบูรณาการข้อมูลแบบเรียลไทม์ พร้อมประมวลผลผ่านทางคลาวด์ พนักงานสามารถตรวจสอบ ควบคุม และจัดการปรับสภาพแวดล้อมต่างๆ ในสวนกาแฟได้แบบเรียลไทม์ทั่วถึง