แฉแก๊งยากูซ่าหวังรีดเหยื่อ300ล้านเยน เปิดปูมหลังก่อนถูกอุ้ม

แฉแก๊งยากูซ่าหวังรีดเหยื่อ300ล้านเยน เปิดปูมหลังก่อนถูกอุ้ม

นักธุรกิจหมื่นล้านชาวญี่ปุ่น แฉแก๊งยากูซ่าหวังรีด300ล้านเยน เปิดปูมหลังก่อนถูกอุ้ม-เคยถูกทำร้ายเมื่อ2ปีก่อน

พ.ต.ท.จิรกฤต จารุนภัทร์ รองผกก.สส. สน.ทองหล่อ เรียกชุดสืบสวน สน.ทองหล่อ ทำการประชุมคืบหน้าหารือเพื่อคลี่คลายคดีกลุ่มคนร้าย3รายชาวญี่ปุ่นอุ้มนักธุรกิจชาติเดียวกัน โดยทางตำรวจได้นำพยานหลักฐานมาทำการเตรียมส่งให้หน่วยงานเกี่ยวข้องพิสูจน์ โดยเฉพาะเส้นทางการเงิน อีกทั้งหลังจากนี้จะทำการสอบปากคำผู้เสียหายเพื่อรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน

มีรายงานว่า จากการสอบปากคำผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย พบว่านายเลโอ ซึรุโซเอะ (Mr.Reo TsuruZoe) ให้การว่า การกระทำครั้งนี้มาจากความแค้นส่วนตัว สืบเนื่องมาจากเคยเป็นลูกจ้างของผู้เสียหาย แล้วถูกใช้งานกดดัน และเคยมีเรื่องการแจ้งความดำเนินคดีกับเจ้าตัวที่ประเทศญี่ปุ่น จึงต้องการขู่บังคับให้ผู้เสียหายทำสัญญายินยอมถอนแจ้งความ และเลิกยุ่งเกี่ยวต่อกันอีก จากนั้นได้ลงประกาศหาคนขับรถเพื่อติดตามมาที่ประเทศไทย ก่อนจะพบกับทางนายมาซาโตะที่มารับเป็นคนขับรถให้

ส่วนนายมาซาโตะ โคบาริ(Mr.Masato Kobari) นั้นได้ให้การอ้างว่าถูกนายเลโอว่าจ้างให้มาขับรถที่ประเทศไทย ด้วยเงินจำนวน 60,000 บาท โดยไม่ได้บอกว่าทำอะไร ซึ่งมาแล้วก็ตกบันไดพลอยโจรของการกระทำครั้งนี้ของนายเลโอ โดยถูกนายเลโอสั่งให้เฝ้าดูผู้เสียหาย แต่ไม่ทราบว่าเป็นใคร และใครเป็นผู้สั่งการอีกที ทราบเพียงเท่าที่นายเลโอบอกเล่าว่า ผู้เสียหายไปทำบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้ผู้ที่มีอิทธิพลที่ประเทศญี่ปุ่นไม่พอใจเป็นอย่างมาก และต้องการที่จะล้างแค้นสั่งสอนให้หลาบจำเท่านั้น

ด้าน นายคิโยโต้ มิยาตะ (Mr.Kiyoto Miyata) ให้การว่า ตนไม่ทราบเรื่องว่าจะมีการอุ้มผู้เสียหายมาทรมานมาก่อน แต่เมื่อวันที่ 24 พ.ค.ที่ผ่านมา ตนถูกนายเลโอและนายมาซาโตะ อุ้มมาทรมานร่างกายข่มขู่ว่าจะทำร้ายครอบครัวตนที่ประเทศญี่ปุ่น ตั้งแต่ เป็นเวลา 5 วัน สุดท้ายต้องยอมทำตามที่นายเลโอสั่ง เนื่องด้วยที่เจ้าตัวมีธุรกิจอยู่ที่ประเทศไทย และเคยทำธุรกิจร่วมกับผู้เสียหาย ทำให้เป็นสาเหตุที่ทางนายเลโอเลือกตนเข้ามาเกี่ยวข้องกับคดีนี้ อีกทั้งผู้เสียหายระวังตัว ไม่ยอมออกมาพบกับทางนายเลโอแน่นอน จึงต้องใช้เจ้าตัวมาเป็นตัวหลอกล่อให้เหยื่อออกมาพบและลงมือก่อเหตุ

อย่างไรก็ตามทางตำรวจไม่ปักใจเชื่อ ต่อคำให้การของนายเลโอและนายมาซาโตะ ว่าทั้งคู่ไม่รู้จักกันมาก่อน เนื่องจากมีความเป็นไปได้ว่านายเลโอต้องการบุคคลที่สามารถช่วยเหลือในการก่อเหตุครั้งนี้ได้ จึงต้องใช้นายมาซาโตะมาช่วยเหลือ เพราะมีประวัติเกี่ยวข้องกับกลุ่มแก๊งผู้มีอิทธิพลในประเทศญี่ปุ่นนั้นคือ “แก๊งยากูซ่า” แต่เมื่อทำการขอข้อมูลจากทางการญี่ปุ่นตรวจสอบแล้วไม่พบในสารบบ ที่มีการลงทะเบียนไว้ แต่สิ่งที่ทำให้เชื่อผู้ต้องหารายนี้เป็น เนื่องจากมีรอยสัก และนิ้วก้อยฝั่งซ้ายถูกตัดทิ้ง ซึ่งเจ้าตัวอาจไม่ได้ลงทะเบียนไว้

ทั้งนี้ ทางตำรวจยังเชื่ออีกว่ากลุ่มคนร้ายมีผู้สั่งการมาจากต่างประเทศ เนื่องด้วยมูลเหตุตามที่ทางผู้ต้องหาอ้างมาเป็นไปไม่ได้ ด้วยที่ทางผู้เสียหายเป็นนักธุรกิจที่มีหลายกิจการระดับหมื่นล้าน รวมไปถึงนายเลโอไม่มีอาชีพเป็นหลักแหล่ง แต่กลับมีเงินมาจ้างวานผู้ต้องหารายอื่นมาร่วมก่อเหตุในครั้งนี้ได้ เมื่อทางตำรวจทำการตรวจสอบโทรศัพท์ของผู้ต้องหามีการติดต่อสั่งการผ่านช่องทางดังกล่าว มีการข้ามประเทศ อีกทั้งทางกลุ่มผู้ต้องหามีการเฝ้าสังเกตุการณ์ผู้เสียหายมาแล้วกว่า 2 เดือน โดยพบภาพถ่ายตัวผู้เสียหาย รถที่ผู้เสียหายใช้ เป็นการสะกดรอยตามผู้เสียหาย จนกระทั่งวันที่ก่อเหตุอุ้มลักพาตัวดังกล่าว

นอกจากนี้ มีรายงานข่าวแจ้งเพิ่มเติมอีกว่า ทางตำรวจได้ทำการสอบปากคำผู้เสียหายแล้ว ทราบว่า ก่อนหน้านี้เจ้าตัวมีปัญหากับนายเลโอที่เป็นลูกจ้างรับสร้างบ้าน และไปขโมยของตนมีมูลค่าความเสียหาย 15 ล้าน และมีการแจ้งความดำเนินคดีกันไปแล้วที่ประเทศญี่ปุ่น ต่อมา 2 ปีที่ผ่านมา นายเลโอตามผู้เสียหายมาที่ประเทศไทยจนพบและทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย แต่ก็ไม่ได้มีการแจ้งความดำเนินคดีกันแต่อย่างใด

จนกระทั่งมาถูกนายเลโออุ้มไปทรมานอีกครั้ง โดยระหว่างที่ถูกกลุ่มคนร้ายอุ้มไปทรมานร่างกายนั้น ตนได้สอบถามคนร้ายว่าต้องการสิ่งใด ซึ่งทางนายเลโอได้ถามเจ้าตัวว่า “ชีวิตคุณมีค่าเท่าไหร่” ทางผู้เสียหายจึงมอบบัตรเครดิตรให้ไป พร้อมระบุว่าในบัตรนี้มีเงินอยู่จำนวน 20 ล้านเยน แต่ทางผู้ต้องหากลับบอกกลับมาว่าเงินจำนวนนี้น้อยไป ชีวิตผู้เสียหายต้องมีค่าเงินกว่า 300 ล้านเยน ก่อนทางตำรวจจะมาช่วยไว้ได้ทัน