อ้างสั่งสอนไม่คิดฆ่า คดี3ชาวญี่ปุ่นลวงอุ้ม'วาตานาเบ้ ซึเนมิ'

อ้างสั่งสอนไม่คิดฆ่า คดี3ชาวญี่ปุ่นลวงอุ้ม'วาตานาเบ้ ซึเนมิ'

แค้นเรื่องจ้างงาน จะสั่งสอนไม่คิดฆ่า กรณี3ชาวญี่ปุ่นลวงอุ้มนักธุรกิจ "วาตานาเบ้ ซึเนมิ" จากแจ้งวัฒนะมาขังที่อพาร์ทเม้นต์ ซอยเอกมัย23 ด้านตร.แกะรอยจากจีพีเอสรถช่วยได้ ผบช.น.สั่งขยายผลมีคนไทยเอี่ยวอุ้มเรียกค่าไถ่หรือไม่

เมื่อเวลา 11.15 น. วันที่ 10 มิถุนายน ที่ห้องสืบสวนสน.ทองหล่อ พล.ต.ท.ศานิตย์ หมถาวร ผบช.น. เดินทางมาติดตามความคืบหน้าคดีที่ นายวาตานาเบ้ ซึเนมิ (Mr.Watanabe Tsunemi) นักธุรกิจเจ้าของบริษัทจำหน่าย เครื่องมือแพทย์ ถูกคนร้าย 3 คนจับตัวมากักขังไว้ในห้องพักเลขที่ 719 ชั้น7 อพาร์ทเม้นต์ แกรนด์ ไฮ เทค ทาวเวอร์ ภายในซอยเอกมัย 23 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กทม.

และสามารถจับกุมผู้ต้องหาประกอบด้วย นายมาซาโตะ โคบาริ (Mr.Masato Kobari) อายุ 49 ปี นายเลโอ ซึรุโซเอะ (Mr.Reo TsuruZoe) อายุ 41 ปี(หัวหน้าแก๊ง) และ นายคิโยโต้ มิยาตะ(Mr.Kiyoto Miyata) อายุ 57 ปี ทั้งหมดสัญชาติญี่ปุ่น ได้ภายในห้อง เหตุเกิดเมื่อเวลา 22.30 น. วันที่ 9 มิถุนายน ที่ผ่านมา พร้อมตำรวจสน.ทองหล่อ เจ้าหน้าที่ บก.ทท. เจ้าหน้าที่ตำรวจญี่ปุ่น และ เจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำปรพะเทศไทย โดยมีการนำของกลาง ทั้งธนบัตรไทยและญี่ปุ่น เชือก ไม้เบสบอล และอาวุธปืนลูกโม่เทียม มาตรวจทำบันทึกหลักฐาน แต่ไม่มีการนำผู้ต้องหาทั้ง 3 คน ออกมาแถลงข่าวแต่อย่างใด

พล.ต.ท.ศานิตย์ เปิดเผยว่า คดีนี้ทุกอย่างอยู่ระหว่างการสอบสวนเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง เบื้องต้นทราบว่า มีการขอรหัสบัตรเครดิตผู้เสียหาย แต่ยังไม่มีการนำบัตรไปกดเงิน สำหรับมูลเหตุนั้น นายเรโออ้างว่ามาจากความขัดแย้งเรื่องปัญหาการรับจ้างที่ประเทศญี่ปุ่นเมื่อ 2 ปีก่อน ทางผู้เสียหายเคยแจ้งความกับตำรวจ ต่อมาก็ยังไม่ยอมเลิกรา นายเรโอจึงมีการวางแผนล่อให้ผู้เสียหายออกมาเจอกันที่ย่านแจ้งวัฒนะ ก่อนทำการอุ้มไปกักขัง เพื่อต้องการสั่งสอนไม่ให้มายุ่งรังควานอีก

ส่วนเลื่อยที่พบในห้องนั้น กลุ่มผู้ต้องหาอ้างว่า ต้องการมาเลื่อยไม้เพื่อดามขาผู้เสียหายที่หักเท่านั้น ซึ่งกลุ่มคนร้ายอ้างว่าไม่ต้องการให้ตาย แค่สั่งสอนเท่านั้น ประเด็นนี้ เจ้าหน้าที่ยังไม่ปักใจเชื่อ กำลังขยายผลว่าจะมีกลุ่มคนร้ายเพียง 3 คน นี้หรือไม่ หรือจะมีมากกว่านี้ พร้อมกับต้องตรวจสอบว่ามีคนไทยร่วมเอี่ยวด้วยหรือไม่ ซึ่งจะต้องสอบสวนหาข้อเท็จจริงต่อไป

รายงานข่าวแจ้งว่า นายเรโอเดินทางเข้าประเทศไทยตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา และมีการต่อวีซ่านักท่องเที่ยวจำนวน 1 ครั้งในเดือนพฤษภาคม โดยวีซ่าสิ้นสุดเดือนมิถุนายนนี้ เช่นเดียวกับนายมาซาโตะที่ใช้วีซ่าท่องเที่ยวเช่นกัน ส่วนนายคิโยโต้มีวีซ่าทำงานในประเทศไทย ทำงานเป็นคนขับรถให้กับบริษัทแห่งหนึ่งในไทย

ทั้งนี้ กลุ่มผู้ต้องหาทั้งหมดภายใต้การนำของนายเรโอได้ลวงผู้เสียหายจากย่านแจ้งวัฒนะไปกักขังไว้ตั้งแต่วันที่ 5 มิถุนายน และให้โทรศัพท์ติดต่อภรรยาได้เพียงวันละ 1 ครั้งเท่านั้น ทางตำรวจไทยรับการประสานจากสถานทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย จึงออกสืบสวนโดยเร่งด่วน เพราะมีข้อมูลจากภรรยาชาวไทยของผู้เสียหายว่า นายวาตานาเบ้ได้สนทนาทางโทรศัพท์ ซึ่งมีน้ำเสียงอ่อนล้ามาก จึงต้องทำงานแข่งกันเวลา เพราะหากช้าเกินไปนายวาตายาเบ้อาจเสียชีวิตก่อน

ต่อมา ช่วงค่ำของเมื่อวานนี้ (9 มิ.ย.) ทางตำรวจพบว่ากลุ่มผู้ต้องหาได้เช่ารถซึ่งมีจีพีเอส และจีพีเอสของรถปรากฎอยู่ที่ซอยสุขุมวิท 49 จึงนำกำลังไป ทางผู้ต้องหาไหวตัวขับรถหนี จนถูกชาร์จจับได้ที่ซอยสุขุมวิท 26 เค้นสอบพาตัวมายังห้องพักในซอยเอกมัย 23 จนพบผู้เสียหายถูกผ้าดำคาดปิดตา ในสภาพอิดโรย จึงเรียกชื่อนายวาตานาเบ้ เมื่อผู้เสียหายได้ยินชื่อก็พยักหน้าและขยับตัว ทำให้เจ้าหน้าที่โล่งใจว่ามาทันช่วยชีวิตได้สำเร็จ

รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า นายเรโอได้ว่าจ้างนายคิโยโต้มาขับรถในราคา 60,000 บาท ต่อเดือน ทั้งนี้ตำรวจพบว่าข้อนิ้วก้อยข้างซ้ายของนายมาซาโตะหายไป และมีรอยสักคล้ายสมาชิกแก๊งยากูซ่า แต่ชื่อไม่พบในสารบบคนร้ายของตำรวจญี่ปุ่น คาดว่าน่าจะเป็นสมาชิกปลายแถว
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหาปล้นทรัพย์ ,กักขังหน่วงเหนี่ยวและทำให้สูญเสียอิสรภาพ และ ทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ได้รับบาดเจ็บ โดยทางนายเรโอปฏิเสธเซ็นชื่อในชั้นจับกุม และขอให้การในชั้นสอบสวน ส่วนนายคิโยโต้ให้การปฏิเสธทุกข้อหา ส่วนนายมาซาโตะขอปฏิเสธข้อหาปล้นทรัพย์แต่รับสารภาพในข้อหาที่เหลือ เจ้าหน้าที่นำส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป