'ไอเทล' ปักธง 3-5 ปี มาร์เก็ตแคปหมื่นล้านบาท

'ไอเทล' ปักธง 3-5 ปี มาร์เก็ตแคปหมื่นล้านบาท

"ไอเทล" ปักธง 3-5 ปี "มาร์เก็ตแคป" หมื่นล้านบาท

เข้ามารับบทบาทเป็นผู้บริหารรุ่นที่ 2 ของกลุ่ม บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ILINK โดยโจทย์สำคัญ คือการขับเคลื่อน บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม จำกัด (มหาชน) ITEL ณัฐนัย อนันตรัมพร กรรมการผู้จัดการ อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม ซึ่งประกอบธุรกิจให้บริการเช่าโครงข่ายใยแก้วนำแสง บริการออกแบบ ก่อสร้าง และรับเหมางานโครงการสายใยแก้วนำแสงและโครงการสื่อสัญญาณโทรคมนาคม บริการเช่าพื้นที่ดาต้าเซ็นเตอร์ เป็นผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนที่อายุน้อยที่สุดในปัจจุบัน ด้วยวัย 29 ปี  มุ่งหวังที่จะให้บริษัทเป็นผู้นำในธุรกิจสื่อสาร จุดเริ่มต้นการทำงานนั้นถูกปลูกฝั่งจากครอบครัวที่วางแผนให้รุ่นลูกเข้ามาสืบทอดธุรกิจ

“ธุรกิจของครอบครัวถูกสร้างมากกว่า 30 ปี ซึ่งผมเป็นลูกชายคนที่ 2 ของพี่น้อง 4 คน พ่อจะบอกเสมอว่าต้องมารับช่วงต่อของธุรกิจที่บ้าน และวางแผนให้ผมเป็นวิศวกร  กลับมาทำธุรกิจครั้งแรกในเดือนต.ค.2554 เริ่มงานด้วยตำแหน่งผู้จัดการ  ให้ดูว่าควรจะทำอะไรเพิ่มเติมเพื่อพัฒนาบริษัท”

โจทย์สำคัญที่เข้ามาเริ่มงาน คือจะทำอย่างไรให้ธุรกิจเปลี่ยนจากเดิม ที่เน้นการซื้อมาขายไปมีจุดอ่อนรายได้เริ่มจาก 0บาท ไม่มีรายได้ประจำ ถ้าจะโตต่อเนื่องจะต้องมีรายได้ประจำ ซึ่งอุตสาหกรรมอยู่ในอุตสาหกรรมโทรคมนาคม ต้องสร้างความแตกต่าง บริษัทจึงเลือกที่จะผันตัวไปให้บริการโครงข่าย เริ่มงานแรกคือการขอใบอนุญาต กสทช. ในการทำธุรกิจโครงข่าย ใช้เวลาประมาณ 2 เดือนในการได้รับอนุญาต

หลังจากทำงานในบริษัท อินเตอร์ลิ้ง คอมมิวนิเคชั่น ก็ได้รับหน้าที่เข้าบริหารงานบริษัทลูก คือ ITEL เต็มตัว เป้าหมายคือ ต้องมีส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับที่ 2 ของอุตสาหกรรมธุรกิจให้เช่าโครงข่าย จากปัจจุบันอันดับที่ 5 ภายใน 5 ปี หรือภายในปี 2565 ซึ่งบริษัทยังมีส่วนแบ่งตามหลังผู้ให้บริการมือถือและอินเตอร์เน็ตของภาครัฐ  สิ่งที่บริษัทให้ความสำคัญและสร้างความแตกต่าง คือ มุ่งเน้นคุณภาพการให้บริการ

ความท้าทาย คือ การอยู่ในอุตสาหกรรมที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงเร็ว ผู้เล่นในอุตสาหกรรมมีแต่ผู้ประกอบการรายใหญ่ มีความแข็งแกร่งด้านเงินทุน ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีทำให้บริษัทหันไปใช้เทคโนโลยีสายใยแก้วนำแสง ซึ่งจะใช้งานได้นานกว่าและมีคุณสมบัติที่ดีกว่า พลิกกลับมาเป็นจุดที่ได้เปรียบ ส่วนข้อกังวลเรื่องผู้เล่นรายใหญ่เข้ามาทำลายตลาด ณัฐนัย เชื่อว่าหากเราสร้างความแตกต่าง ช่วยให้เขามีศักยภาพที่ดีขึ้น จะช่วยให้เขากลายมาเป็นพันธมิตรเราได้

ปัจจุบันกลุ่มธุรกิจของบริษัท แบ่งเป็นงานด้านงานโครงการโทรคมนาคม และมีการขยายงานในด้านอื่นมากขึ้น ช่วงที่ผ่านมาได้เข้าไปทำงานด้านระบบไอที การทำสายเคเบิลใต้น้ำ และ ธุรกิจโทรคมนาคมให้บริการโครงข่ายความเร็วสูง ดาต้าเซ็นเตอร์เป็นหลัก ซึ่งในอนาคตภาพอินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น เป็นโฮลดิ้ง ที่ชัดเจนมากขึ้น

การเติบโตในอนาคต ทางกลุ่มบริษัทมีแผนจะนำบริษัทลูกเข้ามาจดทะเบียนมากขึ้น และมีโอกาสจัดตั้งกองทุนรีทดาต้าเซ็นเตอร์ หรือ กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน บริษัทคาดว่าภายใน 3 ปีข้างหน้าก็อาจจะได้เห็นการนำบริษัทเข้าจดทะเบียน ส่วนไอเทลต้องมีขนาดบริษัทที่ใหญ่ขึ้น ปัจจุบันมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดอยู่ที่ 5 พันล้านบาท ต้องการผลักดันให้ไปถึง 1 หมื่นล้านบาท ในอีก 3- 5 ปีบริษัทจะมีรายได้ที่มั่งคงและต่อเนื่อง

การเติบโตระยะสั้นของไอเทล ปีนี้คาดว่ารายได้จะเติบโต 20 -30 % จากปีก่อนที่ 800 ล้านบาทเนื่องจากธุรกิจงานให้บริการโครงข่ายใยแก้วที่ปีนี้จะโตได้ 50% ซึ่งบริษัทจะเน้นจับลูกค้าที่มีสาขาจำนวนมาก ล่าสุดได้งานของบริษัท เมืองไทย ลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน)ที่มีสาขา 1,700 สาขา สัญญา 5 ปี ต่อ 5 ปี ซึ่งคาดว่าปีนี้จะติดตั้งโครงข่ายได้ 1,200-1,500 สาขา ซึ่งการเติบโตอย่างต่อเนื่อง อย่างน้อยไปอีก 3 ปีข้างหน้า

แผนการโรดโชว์ บริษัทมีการพบนักลงทุนสถาบันต่างชาติอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ข้อมูลนักลงทุน เน้นการให้ข้อมูลในประเทศ มาเลเซีย ฮ่องกง และสิงคโปร์  การตอบรับของนักลงทุนค่อนข้างดี เพราะนักลงทุนสถาบันให้ความสำคัญกับโทรคมนาคม และดาต้า เซ็นเตอร์ โดยสัดส่วนนักลงทุนสถาบันถืออยู่ 7% มีเป้าหมายต้องการมีนักลงทุนสถาบันถือหุ้น 15 -20%

สำหรับการเปลี่ยนจากรุ่นพ่อมาเป็นรุ่นลูกนั้น การบริหารงานในบริษัทเปลี่ยนไปมาก จากเดิมทำงาน 6 วันต่อสัปดาห์  คนรุ่นใหม่ต้องการบาลานซ์การทำงานและการใช้ชีวิต ต้องปรับให้สอดคล้องกับการใช้ชีวิต รวมถึงการปรับนโยบายการทำงาน โดยใช้เป้าหมายเป็นตัวตั้ง คุณจะมาทำงานสายได้แต่ถ้างานไม่เสร็จก็จะไม่ได้กลับ รวมถึงการดึงจุดแข็งของธุรกิจครอบครัว ทำให้พนักงานเหมือนครอบครัวเรา จะมีความใกล้ชิดกัน ทำงานเต็มที่และมีความสุข

 ด้วยความที่อายุน้อย ทำให้เกิดปัญหาในการเจรจาธุรกิจ ครั้งแรกอาจจะถูกตัดสินว่าเด็กเกินไป แต่หากได้รับโอกาสก็ต้องรีบคว้าเอาไว้ เวลาพูดหรือเสนอแผนธุรกิจต้องพูดให้เข้าเป้าหมายและตรงประเด็น ซึ่งโอกาสนั้นอาจจะมีแค่ครั้งเดียวเท่านั้นต้องทำให้สำเร็จ รวมถึงการบริหารด้วยอายุที่น้อยกว่า คนรุ่นเก่าอาจไม่ยอมรับกับวิธีการใหม่ๆ เพราะอาจเกิดจากความเคยชินกับวิธีการเดิมๆ  และไม่สามารถบอกให้เขาปรับเปลี่ยนได้ วิธีการคือ ต้องใจเย็น ค่อยๆเปลี่ยน ซึ่งคนรุ่นเก่าจะตั้งใจทำงาน อาจจะต้องทำให้เขาดูก่อนว่าวิธีนี้สามารถใช้ได้แล้วเขาจะทำตามเอง

อย่างไรก็ตาม หลังจากเข้ามาทำงานในบริษัทเต็มตัวนั้นมีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนขึ้น โดยผมเริ่มงานในบริษัทอินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น ด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดอยู่ที่ 700 ล้านบาท วันนี้ตัวอยู่ที่ 5.5 พันล้านบาท และมีบริษัทลูกอย่าง ไอเทล ที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดที่ 5 พันล้านล้านบาท หากนำทั้ง 2 บริษัทรวมกันกว่า หมื่นล้านบาท และมีธุรกิจใหม่ที่สร้างขึ้นมาเริ่มมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นและมีการก้าวกระโดดทุกปี