Daily Market Outlook (8 มิ.ย.60)

Daily Market Outlook (8 มิ.ย.60)

ความเสี่ยงจากต่างประเทศกดดัน

คาดหุ้นไทยปรับตัวลงวันนี้ ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศมาอีกครั้งหลังเกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธเป็นชุดเลยเมื่อเช้านี้ภายในระยะเวลาไม่ครบสัปดาห์ หลังจากสหประชาชาติเพิ่งเพิ่มมาตรการลงโทษไปหยกๆ นักลงทุนยังต้องรอดูการเลือกตั้งอังกฤษ การประชุม ECB และการให้การของอดีตหัวหน้า FBI ทั้ง 3 เหตุการณ์ในวันนี้ แม้คำให้การเป็นรายลักษณ์อักษรของอดีตหัวหน้า FBI ที่ออกมาเมื่อคืนจะไม่มีอะไรเป็นเหตุอันตราย แต่นักลงทุนคงต้องระมัดระวังอยู่ดีหากมีการพลิกผันในการให้การจริง ปัจจัยภายในประเทศวันนี้มีน้ำหนักไปทางลบ รายงานการประชุม กนง.ล่าสุดระบุคณะกรรมการแสดงความห่วงใยต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในระยะยาว มีความเป็นห่วงกันว่านักท่องเที่ยวชาติอาหรับมีแนวโน้มลดลง

หุ้นเด่นวันนี้ : BEM(ราคาปิด 7.25 บาท; ซื้อ; ราคาเป้าหมาย 10.10 บาท)

เราเลือก BEM เป็น Pick of the day เพื่อให้สอดคล้องกับ Theme ช่วงนี้ที่เน้นหุ้นลงทุนที่มีกระแสเงินสดชัดเจน ซึ่งมักจะเป็นหุ้นกลุ่ม Utility หรือ Transportation โดย BEM น่าจะได้รับผลบวกจากการที่ รฟม. ลงนามสัญญาว่าจ้าง BEM เชื่อมรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน – สายสีม่วง 1 สถานี คาดเปิดให้บริการประมาณไตรมาส 3/60 (ตามข่าวบอกว่า ส.ค.นี้) หวังผู้โดยสารเพิ่ม 15-20% จะเป็นข่าวดีในสำหรับการสร้างรายได้เพิ่มให้ธุรกิจที่มีอยู่ของ BEM คือรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน กำไรของ BEM ในปีนี้คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นอย่างมากเนื่องจากรับรู้รายได้เต็มปีจาก (1) รถไฟฟ้าใต้ดินสายสีม่วง (คลองบางไผ่ - เตาปูน) ซึ่งเดินรถไปเมื่อวันที่ 6 ส.ค. 59 และ BEM ได้รับค่าจ้างการบริหารจัดการคงที่ในรูปแบบ PPP Gross Cost ไม่ขึ้นกับจำนวนผู้ใช้บริการ (2) ทางพิเศษสายศรีรัช - วงแหวนรอบนอก (กาญจนาภิเษก - จตุจักร) เปิดใช้ 22 ส.ค.59 รายได้ BEM ในปีที่ผ่านมาเกิดจากรายได้ทางด่วน 70% จากธุรกิจรถไฟฟ้า 25% และ 5% จากการดำเนินงานเชิงพาณิชย์ประเภท ค่าเช่า ค่าใช้พื้นที่โฆษณา ฯลฯ นอกจากนี้ BEM ยังมีโอกาสที่จะชนะการประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม ทางด่วนอีก 2-3 เส้นทาง ระยะทางรวมราว 26.5 กม.เงินลงทุนราว 42,000 ล้านบาท สร้างเสร็จราวปี 2563 ราคาเป้าหมายตามวิธี SOTP อยู่ที่ 10.10 บาท จากวิธี DCF ราคาปัจจุบันมี upside 39% Price Pattern ของ BEM ยังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) จากการเกิดทั้ง Daily & Monthly Buy Signal รอเพียงการกลับมาเกิด Weekly Buy Signal ครั้งใหม่ โดยปิดตลาดรายสัปดาห์ได้เหนือ 7.30 บาท ราคา BEM มีเป้าหมายถัดไปอยู่ที่ 7.50 บาท และมีเป้าหมายสำคัญอยู่ที่ 7.75 บาท ตามลำดับ มีจุด Stop Loss ระยะสั้นอยู่ที่ 7.10 บาท (Resistance: 7.30, 7.35, 7.40; Support: 7.20, 7.15, 7.10)

ปัจจัยสำคัญ

ประเด็นในประเทศ:

• กนง.กังวลการเติบโตของไทยในระยะยาว จากรายงานการประชุมของ กนง.ฉบับแก้ไขล่าสุดเผยว่า การเติบโตของไทยในระยะยาวอาจลดลง เนื่องจากปัจจัยทางโครงสร้างหลายๆ ปัจจัย ซึ่งรวมถึง การลดลงของแรงงานเนื่องจากการเติบโตของสังคมผู้สูงอายุ ความไม่สอดคล้องทางด้านทักษะของแรงงาน และการเติบโตของผลผลิตที่ลดลง (Bangkok Post)

• ญี่ปุ่นสนใจลงทุนรถไฟ รองนายกฯ สมคิดระบุว่าญี่ปุ่นพร้อมจะร่วมประมูลก่อสร้างโครงการรถไฟความเร็วสูงเส้น กทม.-ระยอง ระยะทาง 193.5 กม. เชื่อมระเบียงเศรษฐกิจระวันออก (EEC) และ 3 สนามบินนานาชาติ 3 แห่ง ปัจจุบันโครงการอยู่ในกระบวนการศึกษาความเป็นไปได้โครงการและร่วมทุนรัฐเอกชน (PPP)(Bangkok Post)

• สภาท่องเที่ยวฯ กังวลนักท่องเที่ยวตะวันออกกลางลด สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยแสดงความกังวลว่าจำนวนนักท่องเที่ยวตะวันออกกลางอาจมากรุงเทพและจุดหมายอื่นในประเทศไทยลดลงในช่วงไฮซีซั่นระหว่าง ต.ค.-มี.ค. อย่างไรก็ดียังไม่มีการยกเลิกเที่ยวบินมากนัก (Bangkok Post)

• ดัชนีเชื่อมั่นเอสเอ็มอีภาคการค้าเพิ่ม สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยถึงผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการภาคการค้าและบริการ (Trade & Service Sentiment Index: TSSI) ของเดือนเมษายน 2560 พบว่าดัชนีความเชื่อมั่นกลับขึ้นมาอยู่สูงกว่าค่าฐานที่ 100 โดยอยู่ในระดับ 101.2 ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากจากเดือนมีนาคม ซึ่งอยู่ในระดับ 97.0 เป็นผลจากปัจจัยด้านยอดจำหน่าย การลงทุน การจ้างงานและกำไรที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจในภาคการค้าปลีกและบริการ ได้แก่ ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ ร้านค้าปลีกดั้งเดิม สถานีบริการน้ำมัน กิจการท่องเที่ยว ธุรกิจขนส่ง (คน) โรงแรม/ เกสต์เฮาส์/ บังกะโล ร้านอาหาร/ภัตตาคาร (มติชน)

ต่างประเทศ:

• เกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธหลายลูกซึ่งเป็นขีปนาวุธแบบยิงจากภาคพื้นดินและพุ่งเป้าทำลายเรือรบจากชายฝั่งตะวันออกเมื่อเช้านี้ ซึ่งขีปนาวุธดังกล่าวถูกยิงไปไกลประมาณ 200 ก.ม. (124 ไมล์) จากการเปิดเผยของเกาหลีใต้ การปล่อยขีปนาวุธดังกล่าวเกิดขึ้นภายในเวลาไม่ถึงสัปดาห์หลังคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งสหประชาชาติได้มีมาตรการลงโทษเกาหลีเหนือเพิ่มเติมซึ่งคณะกรรมาธิการฯ เผยว่าจะยังคงติดตามโครงการอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ (Reuters)

• อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐปรับตัวขึ้นเมื่อวันพุธ หลังคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษรของนายเจมส์ โคมีย์ อดีตผู้อำนวยการ FBI ไม่ได้มีข้อมูลที่สำคัญเพิ่มเติมเกี่ยวกับการสืบสวนกรณีรัสเซียแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐเมื่อปีที่แล้ว นายโคมีย์จะเข้าให้การต่อวุฒิสภาในวันนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอ้างอิงอายุ 10 ปีปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 2.176% จาก 2.147% เมื่อวันอังคาร อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 30 ปีปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 2.835% จาก 2.810% เมื่อวันอังคาร และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 2 ปีอยู่ที่ระดับ 1.314% เพิ่มขึ้นจาก 1.298% เมื่อวันอังคาร (Reuters)

• ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเทียบกับสกุลเงินหลักเมื่อวันพุธ หลังคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษรของนายโคมีย์ถูกมองว่าไม่มีผลมากอย่างที่กลัวกัน นักลงทุนจับตาผลการประชุมนโยบายของ ECB และการเลือกตั้งทั่วไปในสหราชอาณาจักร ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ปรับตัวขึ้น 0.06% อยู่ที่ระดับ 96.698 เงินยูโรอ่อนค่า 0.14% เทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 1.1259 ดอลลาร์สหรัฐหลังจากปรับตัวลงสู่ระดับ 1.1205 ดอลลาร์สหรัฐ (Reuters)

สหรัฐ:

• ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐปิดบวกเมื่อวันพุธ แม้ว่าหุ้นกลุ่มพลังงานจะร่วงลงอย่างหนักหลังคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษรของนายเจมส์ โคมีย์ อดีตผู้อำนวยการ FBI เกี่ยวกับการสืบสวนกรณีรัสเซียแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐเมื่อปีที่แล้วถูกนักลงทุนมองว่าไม่มีผลร้ายแรงอย่างที่กลัวกันก่อนหน้านี้ (Reuters)

ยุโรป:

• หุ้นธนาคารและสาธารณูปโภคหนุนตลาดยุโรป เนื่องจากสถานการณ์ที่คลี่คลายลงของ Banco Popular ที่จะถูกซื้อโดย Santander ซึ่งจะเพิ่มเงินทุนประมาน 7 พันล้านยูโรหรือ 7.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (Reuters)

• ตลาดคาด ECB จะคงนโยบายในวันนี้ ซึ่งรวมถึงการซื้อตราสารหนี้จำนวน 2.3 ล้านล้านยูโร (2.59 ล้านล้านดอลลาร์) และการคงอัตราดอกเบี้ยอยู่ในแดนลบ นั่นเป็นเพราะอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ต่ำกว่าเป้าแม้เศรษฐกิจจะขยายตัวอย่างแข็งแกร่งก็ตาม และประธาน ECB Mario Draghiมองว่าการปรับตัวขึ้นของอัตราเงินเฟ้อในช่วงที่ผ่านมายังไม่บ่งบอกถึงการฟื้นตัวนักเนื่องจากการเติบโตของค่าแรงยังเชื่องช้าอยู่ (Reuters)

• นายกฯ เทเรซา เมย์น่าจะได้คะแนนเสียงข้างมากในรัฐสภาเพิ่มขึ้น เผยโดยผลโพลล่าสุด นั่นหมายความว่าการพนันในการเลือกตั้งของเมย์จะเป็นไปตามที่เธอคาด จากผลโพลทั้งหมด 6 แห่ง โพลสองแห่งเผยคะแนนนำของพรรคอนุรักษ์นิยมเพิ่มขึ้น ในขณะที่โพลอีกสองแห่งมองว่าคะแนนนำของพรรคอนุรักษ์นิยมลดลง และโพลอีกสองคงประมาณการเดิม อย่างไรก็ตาม โพลเกือบทั้งหมดมองว่าเมย์จะได้คะแนนเสียงข้างมากในรัฐสภาเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โพล ICM เผย คะแนนนำของพรรคอนุรักษ์นิยมต่อพรรคแรงงานที่ 46% ต่อ 34% จะทำให้เมย์คว้าที่นั่งเสียงข้างมากไป 96 ที่นั่ง ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 17 ที่นั่ง โพล ComResเผลคะแนนที่ 44-34 จะทำให้เมย์ได้ที่นั่งเสียงข้างมากไป 74 ที่ อย่างไรก็ตาม โพล Survationมองว่าเมย์จะชนะเฉือนเพียง 1% เท่านั้น ทำให้ตั้งคำถามว่าเมย์จะได้เสียงข้างมากหรือไม่ (Reuters)

เอเชีย:

• การเติบโตทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นในไตรมาส 1/60 ได้รับการปรับลดลงอย่างมากจากเดิมโดยเศรษฐกิจญี่ปุ่นขยายตัว 1.0% YoYในไตรมาส 1/60 ซึ่งน้อยกว่าที่ประกาศในเบื้องต้น 2.2% เทียบกับการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ที่ขยายตัว 2.4%(Reuters)

• ดัชนีตลาดหุ้นญี่ปุ่นพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 9 ปีในเดือน เม.ย.บ่งชี้ว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยรวมยังคงแข็งแกร่ง จากการปรับตัวดีขึ้นในเศรษฐกิจโลก ดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจซึ่งประกอบด้วยข้อมูลเช่นผลผลิตอุตสาหกรรมการจ้างงานและการค้าปลีกเพิ่มขึ้น 3.3 จุดจากเดือนก่อนหน้าเป็น 117.7 ในเดือน เม.ย.ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ ก.พ.51(Reuters)

• รัฐบาลจีนจะใช้มาตรการใหม่ในการลดภาระค่าใช้จ่ายของบริษัทลงอีก 283 พันล้านหยวนหรือประมาณ 41.65 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปี มาตรการดังกล่าวรวมถึงการได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมการกำกับดูแลในภาคการธนาคารและประกันภัยตลอดจนการลดค่าธรรมเนียมบางส่วนในภาคพลังงานและภาคก่อสร้าง (Reuters)

• ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของจีนปรับตัวสูงขึ้นในเดือน พ.ค.เป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน และมากกว่าที่ตลาดคาดไว้ เนื่องจากมาตรการควบคุมเงินทุนที่เข้มงวดและค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงช่วยให้การไหลออกของเงินทุนแข็งค่าขึ้น เงินสำรองเพิ่มขึ้น 24 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในเดือน พ. ค. สู่ระดับสูงสุดในรอบ 7 เดือนที่ 3.054 พันล้านเหรียญฯ เทียบกับที่มีการรายงานในธนาคารกลางเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ซึ่งเพิ่มขึ้น 21 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในเดือน เม.ย.(Reuters)

สินค้าโภคภัณฑ์:

• น้ำมันร่วง 5% วันพุธสู่จุดต่ำสุดรอบ 1 เดือนหลังสต็อกน้ำมันดิบและเบนซินสหรัฐเพิ่มขึ้นผิดคาด ยิ่งซ้ำเติมเพิ่มจากความกังวลว่าข้อตกลงลดกำลังการผลิตของ OPEC ซึ่งอาจไม่สามารถลดอุปทานที่ล้นเกินได้ สัญญาน้ำมันดิบสหรัฐล่วงหน้าลบ 2.47 ดอลลาร์ หรือ -5.1% ปิดที่ 45.72 ดอลลาร์/บาร์เรล ต่ำสุดนับแต่ 4 พ.ค. สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ร่วง 2.06 ดอลลาร์สหรัฐหรือ -4.1% ปิดที่ 48.06 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล (Reuters)ความเห็น: เราคาดว่าราคาน้ำมันดิบลงกดดันหุ้น PTTEP และอาจส่งผลกระทบต่อ PTT ด้วย เรายังคงแนะนำขาย PTTEP ราคาเป้าหมาย 78 บาท และยังไม่แนะนำการเข้าซื้อ PTT ในเวลานี้ แต่เรามองกลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและยางมะตอยได้รับผลดีจากราคาน้ำมันดิบปรับตัวลง เนื่องจากต้นทุนหลักคือน้ำมันดิบ จึงแนะนำหาโอกาสซื้อเมื่อราคาอ่อนตัวสำหรับ TOP, PTTGC และ TASCO แทน

• ทองคำร่วงจากจุดสูงสุดรอบ 7 เดือนวันพุธ เพราะดอลลาร์แข็งค่าและพยานหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรคดีหัวหน้า PBI มีเซอร์ไพรส์เล็กน้อย แต่ความไม่แน่นอนการเลือกตั้งอังกฤษ ทองคำตลาดจรลดลง 0.6% ปิด 1,285.17 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ทองคำสหรัฐล่วงหน้าร่วงไปปิดที่ 1,293.2 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ (Reuters)