การซื้อตัวสุดล้มเหลวแห่งเกาะอังกฤษ(สกู๊ป)

การซื้อตัวสุดล้มเหลวแห่งเกาะอังกฤษ(สกู๊ป)

ภายหลังจากฟุตบอลลีกในยุโรปปิดฉากลงไปเป็นที่เรียบร้อย ทำให้ช่วงเวลานี้สำหรับคอลูกหนังไม่มีข่าวใดน่าสนใจไปกว่าเรื่องของตลาดซื้อขายนักเตะ

แน่นอนว่าการได้เห็นบรรดาแข้งหน้าใหม่ชูเสื้อและผ้าพันคอสโมสรในวันเปิดตัว คือ สิ่งที่เรียกความสนใจและสร้างความฮือฮามาได้นักต่อนัก โดยเฉพาะในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ซึ่งเป็นเวทีแห่งการจับจ่ายมาทุกยุคทุกสมัย แม้ไม่อาจรู้ได้ว่าบางครั้งดีลนั้นอาจดูดีเพียงแค่วันเปิดตัวเท่านั้น

วันนี้จึงขอนำเสนอดีลสุดล้มเหลวบนเกาะอังกฤษ ที่ตอนแรกดูเหมือนจะดี แต่พอลงไปในสนามกลับทำให้แฟนบอลรู้สึกว่าผลงานกับค่าตัวที่แลกไปมันช่างไม่คุมค่าเอาเสียเลย

แอนดี แคร์โรล
สำหรับบรรดาเดอะ ค็อป ย่อมไม่มีใครลืมชื่อของอดีตศูนย์หน้าทีมชาติอังกฤษรายนี้อย่างแน่นอน ย้อนกลับไปเมื่อตลาดนักเตะเดือนมกราคม ซึ่งบรรดาผู้จัดการทีมต่างทราบดีว่าการคว้าผู้เล่นหน้าใหม่ในช่วงนี้เป็นอะไรที่สุ่มเสี่ยงและหลายสโมสรมักเจอกับความล้มเหลวกับเงินก้อนโตที่ต้องจ่ายไป ไม่เว้นกระทั่ง ลิเวอร์พูล ที่เซ็นสัญญากับ แคร์โรล เมื่อต้นปี 2010 โดยย้ายสู่รั้วแอนฟิลด์ด้วยค่าตัว 35 ล้านปอนด์ (ราว 1,500 ล้านบาท) หลังสร้างชื่อขึ้นมากับนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ด้วยส่วนสูง 193 ซ.ม. ถนัดเท้าซ้าย สามารถเล่นลูกกลางอากาศและครองบอลบนพื้นได้ดี ทำให้หลายฝ่ายคาดหวังว่าเขาจะก้าวขึ้นมาเป็นความหวังใหม่ให้กับทีมชาติอังกฤษ

แคร์โรล เข้ามาสวมหมายเลข 9 ของทีมต่อจากเฟร์นานโด ตอร์เรส ที่ย้ายไปเชลซี ซึ่งก็ทำให้เขากลายเป็นความหวังใหม่ในแดนหน้าของทีมทันที อย่างไรก็ตามด้วยอาการบาดเจ็บและชีวิตส่วนตัวนอกกสนามได้เปลี่ยนเส้นทางค้าแข้งของศูนย์หน้ารายนี้ไปอย่างสิ้นเชิง เบ็ดเสร็จลงเล่นให้ ลิเวอร์พูล 58 นัด ยิงไป 11 ลูก กระทั่งถูกปล่อยตัวให้ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ในอีก 2 ปีให้หลัง โดยปัจจุบันยังครองตำแหน่งดาวยิงสิงโตคำรามที่ค่าตัวสูงสุดบนเกาะอังกฤษอยู่ในเวลานี้

อังเดร เชฟเชนโก
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2006 “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี ยอมทุบสถิติดาวเตะค่าตัวแพงที่สุดบนเกาะอังกฤษในเวลานั้น แลกกับดาวยิงระดับโลกอย่าง อังเดร เชฟเชนโก ศูนย์หน้าทีมชาติยูเครนมาจาก เอซี มิลาน ด้วยเงินจำนวน 30.8 ล้านปอนด์ (ราว 1,300 ล้านบาท)

เชฟเชนโก ถือเป็นยอดดาวยิงอย่างแท้จริง เมื่อถล่มตาข่ายในสีเสื้อ“รอสโซเนรี” ไปถึง 175 ประตู จาก 322 นัดที่ลงเล่น และ 48 ประตูในนามทีมชาติยูเครน คว้าแชมป์ลีก 5 สมัยกับดินาโม เคียฟ, แชมป์กัลโช เซเรีย อา และ ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก อย่างละสมัยกับมิลาน อีกทั้งยังเป็นเจ้าของตำแหน่งบัลลง ดอร์ ในปี 2004 แต่ความสำเร็จและชื่อเสียงที่ดาวยิงยูเครนสั่งสมมาต้องพังทลายไปทันที เมื่อย้ายมาเล่นในเวที พรีเมียร์ลีก อังกฤษ โดยตลอด2 ปีในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ “เชฟเชนโก”ยิงให้ทีมได้เพียง 9 ลูกเท่านั้น ก่อนถูกส่งตัวกลับไปให้ทีมดังในเซเรีย อา ใช้งานอีกครั้ง
ภายหลังมีข่าวว่าจริงๆ แล้ว โชเซ มูรินโญ กุนซือของทีมในตอนนั้น ไม่ได้ต้องการ เชฟเชนโก มาร่วมทีม แต่เป็นเพราะ โรมัน อบราโมวิช เจ้าของทีมซึ่งมีความสนิทสนมและชื่นชอบดาวยิงรายนี้เป็นพิเศษจึงทำให้เกิดดีลดังกล่าวขึ้นมา

ฮวน เซบาสเตียน เวรอน
ตบเท้าเข้าสู่รั้วโอลด์ แทรฟฟอร์ด ในฐานะกองกลางเชิงสูงแห่งเวที กัลโช เซเรีย อา หลังเก็บข้าวของย้ายจาก ลาซิโอ มาอยู่กับ แมนฯยูไนเต็ด เมื่อปี 2001 ด้วยค่าตัวเป็นสถิติของเกาะอังกฤษเวลานั้นที่ 28.1 ล้านปอนด์ (ราว 1,200 ล้านบาท) โดย เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน นายใหญ่ปีศาจแดง เคยให้คำจำกัดความมิดฟิลด์อาร์เจนไตน์รายนี้ว่าเป็นหนึ่งในกองกลางที่ดีที่สุดของโลก

อย่างไรก็ตามหลังจากได้ลงไปสัมผัสความเขี้ยวลากดินของลีกเมืองผู้ดีกลับพบว่าเจ้าตัวไม่สามารถปรับตัวเข้ากับสปีดบอลของที่นี่ได้เลย ทำให้เขาไม่สามารถคุมเกมได้เหมือนสมัยที่ค้าแข้งในอิตาลี จนทำให้สุดท้าย เฟอร์กูสัน ต้องยอมกลืนน้ำลายตัวเองพร้อมกับยอมปล่อยตัวไปให้กับ เชลซี ด้วยค่าตัวเพียง 15 ล้านปอนด์ (ราว 640 ล้านบาท) ในอีก 2 ปีต่อมา

โรบินโญ
ก่อนที่ทุกคนจะรู้จักชื่อของ เนย์มาร์ ดังเช่นทุกวันนี้ คอลูกหนังต่างต้องคุ้นหูกับเจ้าของฉายา“นิว เปเล”รายนี้เป็นอย่างดี โดยแมนเชสเตอร์ ซิตี สร้างความฮือฮาในตลาดนักเตะปี 2008 ด้วยการเซ็นสัญญา โรบินโญ จากเรอัล มาดริด ด้วยค่าตัว 33 ล้านปอนด์ (ราว 1,400 ล้านบาท) และเป็นดีลแรกภายหลังการเข้ามาของกลุ่มทุนอาบู ดาบี
โรบินโญ สร้างแรงกระเพื่อมลูกใหญ่ให้กับลีกสูงสุดอังกฤษทันที ด้วยสไตล์การเล่นและเทคนิคอันแพรวพราว และเพียงซีซั่นแรกเจ้าตัวสามารถทำไปทั้งสิ้น 14 ประตู กลายเป็นดาวยิงสูงสุดของทีมและอันดับ 4 บนตารางดาวซัลโวพรีเมียร์ลีก แต่พอเข้าสู่ฤดูกาลที่สองกลับกลายเป็นหนังคนละม้วนเมื่อเจ้าตัวต้องเผชิญหน้ากับปัญหาอาการบาดเจ็บจนไม่สามารถเค้นฟอร์มเก่งออกมาได้ ประกอบกับตำแหน่งนายใหญ่เปลี่ยนมือจาก มาร์ค ฮิวส์ มาเป็น โรแบร์โต มันชินี ทำให้ในปีนั้น โรบินโญ ได้ลงเล่นเพียง 12 เกม และยิงให้ทีมไปเพียงแค่ลูกเดียวเท่านั้น ก่อนสุดท้ายจะขอขึ้นบัญชีย้ายทีมและได้กลับไปเล่นให้ ซานโตส ในบ้านเกิดเมื่อปี 2010

เฟร์นานโด ตอร์เรส
ก้าวขึ้นมาเป็นดาวยิงขวัญใจแห่งถิ่นแอนฟิลด์ โดยตลอด 3 ฤดูกาลภายใต้สีเสื้อหงส์แดง เจ้าตัวได้ฝากผลงาน 65 ประตู จาก 102 นัดที่ลงเล่น แต่การตัดสินใจย้ายทีมในวันสุดท้ายของตลาดนักเตะเดือนมกราคมปี 2011 กลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายของเขากับลิเวอร์พูลที่จากนั้นไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป

ดาวยิงเจ้าของค่าตัว 50 ล้านปอนด์ (ราว 2,150 ล้านบาท) กลายสภาพจากหัวหอกสุดอันตรายในกรอบเขตโทษ มาเป็นเพียงศูนย์หน้าธรรมดาๆคนหนึ่งในรั้วแสตมฟอร์ด บริดจ์ ด้วยความั่นใจที่หล่นหาย ประกอบกับความกดดันจากสิ่งรอบข้าง ทำให้ตลอดระยะเวลาที่รับใช้สิงห์บลูส์ เจ้าตัวยิงไปแค่ 16 ประตู จาก 103 แมตช์ แม้จะมีส่วนสำคัญพาทีมเอาชนะ บาร์เซโลนา ในรอบรองชนะเลิศศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก เมื่อปี 2012 พร้อมกับคว้าแชมป์ในปีนั้น แต่ความสำเร็จดังกล่าวถือว่า ตอร์เรส มีส่วนร่วมกับทีมน้อยเหลือเกิน
ตอร์เรส เดินออกจากถิ่นสิงห์บลูส์ เมื่อปี 2015 และจากนั้นจนถึงทุกวันนี้เจ้าตัวก็ไม่เคยกลับไปใกล้เคียงกับฟอร์มยิงประตูแบบถล่มถลายเหมือนครั้งที่เป็นขวัญใจในถิ่นแอนฟิลด์ได้อีกเลย

จากตัวเลขตลาดซื้อขายนักเตะเมื่อปีที่แล้ว ปรากฏว่า ทีมในพรีเมียร์ลีกใช้เงินไปกว่า 1.165 พันล้านปอนด์ (ราว50,000) สูงสุดกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา และในซัมเมอร์นี้กับระยะเวลาประมาณ 2 เดือน นอกจากต้องมาลุ้นว่าจะมีรายการสถิติโลกเกิดขึ้นหรือไม่และเบ็ดเสร็จแล้วตลาดนักเตะรอบนี้จะพังตัวเลขของเดิมได้หรือไม่

อีกสิ่งที่เป็นเดิมพันไม่แพ้กันยอมหนีไม่พ้นว่าสุดท้ายทีมใดจะได้ของดีราคาถูกหรือโชคร้ายพลาดท่าเซ็นสัญญากับดีล "ของปลอม" ดังเช่นที่ผ่านมา ซึ่งสุดท้ายสิ่งที่จะพิสูจน์ได้มีทางเดียวคือวัดจากผลงานในสนามไม่ใช่ตัวเลขที่เปิดเผยกันตอนเซ็นสัญญาแต่อย่างใด