ไฮโซ 'บอย ยูนิตี้' ฟ้องDSI ยึดรถหรู-ปิดโชว์รูมเสียหาย100ล้าน

ไฮโซ 'บอย ยูนิตี้' ฟ้องDSI ยึดรถหรู-ปิดโชว์รูมเสียหาย100ล้าน

ไฮโซเปิดศึกสู้! "บอย ยูนิตี้" พร้อมทนาย แถลงจะฟ้อง "ดีเอสไอ" เรียกค่าเสียหาย 50 ล้าน โวยถูกปิด 2 โชว์รูมนานกว่า3สัปดาห์ ทำให้สูญเงินกว่า 100 ล้าน ลั่นร้อง "นายกฯประยุทธ์" ขอความเป็นธรรม

จากกรณีเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ บุกค้น 6 จุด โชว์รูมรถหรูกลางกรุงฯ พบรถยนต์ซุปเปอร์คาร์ ยี่ห้อ มาเซราติ , โรลส์-รอยซ์, แอสตัน มาร์ติน , แมคลาเรน และ เฟอร์รารี โดยรถทั้งหมดถูกระบุว่าเลี่ยงภาษี ดังนั้น เจ้าหน้าที่จึงทำการยึดเอกสารตรวจสอบ พร้อมสั่งอายัดเพิ่มรวม 38 คัน มูลค่ากว่า 500 ล้านบาท เมื่อวันที่ 24 พ.ค.

ต่อมาวันที่ 1 มิถุนายน นายอินทระศักดิ์ เตชธีรสิริ กรรมการบริษัท เอส ทีที ออโต้คาร์ และ เอส ทีที ออโต้เซอร์วิส พร้อมด้วยทนายความจากประเทศอังกฤษ และนายดุษฏี บุญยะวณิช ทนายความส่วนตัว ได้ออกมาแถลงข่าวชี้แจงกรณีเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ และกรมศุลกากรทำการ อายัดรถหรู จำนวนกว่า 40 คัน หลังต้องสงสัยว่า รถหรูนำเข้าที่นำมาจำหน่ายในโชวรูมรถของทั้ง 2 บริษัทดังกล่าว มีบางส่วนเป็นรถที่ถูกโจรกรรมมาจากประเทศอังกฤษ และมีการแจ้งสำแดงเท็จนั้น

ความคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 1 มิถุนายน 2560 ที่โรงแรมเอสซี ปาร์ค แขวงพลับพลา เขตวังทองหลาง กรุงเทพฯ นายอินทระศักดิ์ เตชธีรสิริ กรรมการบริษัท เอส ทีที ออโต้คาร์ และ เอส ทีที ออโต้เซอร์วิส พร้อมด้วยนายเจริญ แก้วยอดหล้า ประธานที่ปรึกษาบริษัท เอสทีที ออโต้เซอร์วิส จำกัด นายไสว ทองโชติ ทนายความ ร่วมกันแถลงเพื่อฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจาก ดีเอสไอ.

ประกอบด้วย อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พันตำรวจเอกไพสิฐ วงศ์เมือง, ร้อยเอกกลวิตร บุนนาค และ พันตำรวจโทกรวัชร์ ปานประภากร โดยเรียกค่าเสียหายคดีแพ่งในข้อหาละเมิด 50 ล้านบาท หลังจากมีการละเมิดด้วยการปิดโชว์รูมรถหรูย่านรัชดาและเอกมัย ตั้งแต่วันที่ 23 พฤษภาคม 2560 จนไม่สามารถประกอบธุรกิจได้ ความเสียหายกว่าร้อยล้านบาท

นายอินทระศักดิ์ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เนื่องจากนำกำลังและรถยนต์มาปิดหน้าทางเข้าโชว์รูมรถทั้ง 2ที่ของตน โดยไม่มีหมายจากศาลแต่อย่างใด และเมื่อตนทวงถามไป กลับไม่มีคำตอบที่ชัดเจนว่าตนมีความผิดอะไร ทราบเพียงว่าต้องการอายัดรถของตน 34 คัน ในข้อหาสำแดงเท็จ เท่านั้น และไม่ได้มีหลักฐานระบุว่ารถในโชว์รูมตนมาจากการโจรกรรมตามที่กล่าวอ้าง จึงอยากฝากถามไปถึงดีเอสไอว่าการกระทำดังกล่าวนั้นถูกต้องแล้วหรือไม่

นายอินทระศักดิ์ ได้แสดงภาพจากกล้องวงจรปิด ตั้งแต่วันที่ 23 พฤษภาคม และในวันที่ 4 มิถุนายน ที่ผ่านมาต่อสื่อมวลชน โดยระบุว่ามีเจ้าหน้าที่ดีเอสไอมาปิดโชว์รูมย่านรัชดาภิเษก และสุขุมวิท 63 โดยนำป้ายมาติด และนำรถยนต์มาปิดกั้นทางเข้าออก โดยไม่มีหมายศาล ส่วนรถอายัดไปทั้งหมด 34 คัน เป็นรถใหม่ 13 คัน รถฝากขาย 5-6 คัน ส่วนที่เหลือเป็นรถของลูกค้ามารอซ่อม นอกจากนี้ยังได้แสดงเอกสารการนำเข้ารถยนต์ ที่ส่งมาทางเครื่องบินมาต่อเรือที่สิงคโปร์ ก่อนเข้ามาในประเทศไทย และใบขนสินค้านำเข้า โดยมีการแสดงเลขเครื่อง เลขตัวถัง และเอกสารการเสียภาษีอย่างถูกต้อง เพื่อตอบคำถามกรณีที่พันตำรวจเอกไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ สอบถามว่ารถที่ถูกโจรกรรมมาอยู่ในโชว์รูมได้อย่างไร

ส่วนรถลัมโบกินี สีเขียว 1 ในรถที่ถูกอายัด นายอินทระศักดิ์ กล่าวอีกด้วยว่ารถคันนี้ถูกส่งมาเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งมีตำรวจสุวรรณภูมิ และเจ้าหน้าที่ศุลกากร มาขอตรวจสอบวันที่รถนำเข้ามาว่าเป็นรถที่ถูกโจรกรรมหรือไม่แต่ตรวจสอบแล้วไม่พบว่าผิดกฎหมาย ซึ่งหลังเกิดเรื่องดังกล่าวขึ้นจึงได้ประสานไปยังสถานฑูตของอังกฤษ ทราบว่า รถยนต์ที่จะส่งออกจากอังกฤษจะมีหน่วยงานตรวจสอบที่ชื่อว่า H.M.R.C แสดงว่ารถทุกคันถูกตรวจสอบจากต้นทางก่อนออกมาถึงประเทศไทย

นอกจากนี้นายอินทระศักดิ์ ยังได้กล่าวถึงกรณีที่ถูกกล่าวหาว่า มีการสำแดงเท็จโดยนายอินทระศักดิ์ ได้ยืนยันอีกด้วยว่า ไม่มีการสำแดงเท็จ โดยได้ชี้แจงถึงการคำนวนตามกฎเกณฑ์ทั้งของดีลเลอร์ และผู้นำเข้าอิสระ หรือ เกรย์มาร์เก็ต ที่จะต้องเสียภาษีนำเข้าร้อยละ 328 ตามกฎหมายที่ระบุไว้อยู่แล้ว และยืนยันว่ารถยนต์ที่ถูกดีเอสไอกล่าวหาว่ามีการนำเข้าโดยผิดกฏหมายนั้น ตนได้มีการแสดงราคาอย่างถูกต้องตามหลักการการประเมินของคณะกรรมการภาษีอากรกรมศุลกากร ที่จะมีการเทียบราคากลางจากเว็บไซต์บริษัทผู้ผลิต โดยทางบริษัทนำเข้าได้ว่าจ้างบริษัท ชิปปิ้ง เป็นผู้ดำเนินการเรื่องเอกสารและพิธีการทางศุลกากร

นายอินทระศักดิ์ กล่าวว่า การที่ดีเอสไอเข้ามาอายัดรถในบริษัทของตน ทำให้ธุรกิจเสียหายหลายร้อยล้าน เพราะการกระทำดังกล่าวส่งผลให้บริษัทเสียชื่อเสียงและหมดความน่าเชื่อถือ และขณะเจ้าหน้าที่ทำการอายัดรถก็ไม่ได้มีการแสดงเอกสาร การเข้าตรวจค้นหรือหลักฐานว่ารถเป็นที่ถูกโจรกรรมมา ซึ่งตนยินดีชี้แจ้งพร้อมนำหลักฐานเอกสารการซื้อรถอย่างถูกต้องถ้าดีเอสไอจะเรียกเข้าไปชี้แจงถึงรถยนต์จำนวน 34 คัน ที่ถูกอายัด นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ดีเอสไอยังกล่าวว่าได้รับการประสานจากประเทศอังกฤษให้เข้าตรวจสอบรถดังกล่าวนั้นขณะนี้ทางบริษัทได้ให้ทนายความตรวจสอบไปยังประเทศอังกฤษว่ามีการประสานงานมาเพื่อตรวจสอบรถตามที่ดีเอสไอกล่าวหรือไม่ซึ่งจากการตรวจสอบขณะนี้ยังไม่พบข้อมูลดังกล่าว

สำหรับประเด็นที่ดีเอสไออ้างว่า รถ 2 คันที่ ตัวเองส่งไปฮ่องกงนั้น เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2560 ได้ดำเนินการของจองเรือส่งไปก่อนเจ้าหน้าที่เข้าอายัดรถ ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นกับบริษัท ตัวเองตั้งข้อสังเกต ว่า เป็นเรื่องความขัดแย้งส่วนตัวระหว่างเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงยุติธรรมหรือไม่ อย่างไรก็ตามนายอินทระศักดิ์ยอมรับว่าที่ผ่านมาเคยมีปัญหาส่วนตัวกับเจ้าหน้าที่ระดับสูง ในสังกัดกระทรวงยุติธรรม เกี่ยวกับรถยนต์หรู ซึ่งตัวเองจะรวบรวมพยานหลักฐานดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องในส่วนนี้ด้วย แต่ยังไม่ขอเปิดเผยรายละเอียด

ด้านนายเจริญ กล่าวว่า ขณะนี้ได้ยื่นฟ้องคดีแพ่งดีเอสไอ ฐานละเมิดพร้อมเรียกค่าเสียหาย 50 ล้านบาท ซึ่งศาลนัดพร้อมในวันที่ 4 กันยายนนี้ โดยเห็นว่าดีเอสไอใช้อำนาจหน้าที่ไม่ถูกต้อง ในการปิดโชว์รูมของนายนายอินทระศักดิ์ โดยไม่มีหมายศาลกระทบการดำเนินธุรกิจ ทั้งการซื้อขาย ซ่อมบำรุงเปลี่ยนอะไหล่ให้ลูกค้า และการบริการอื่นๆ รวมถึงกระทบต่อพนักงาน ด้วย จึงอยากทราบว่าดีเอสไอใช้กฎหมายอะไรในการปิดทางเข้า-ออกโชว์รูมดังกล่าว ผู้บริโภคผิดอะไรจึงไปยึดอายัดรถ

นอกจากนี้นายอินทระศักดิ์จากเดิมที่เป็นเพียงผู้บริหารในบริษัท หลังมีเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นจึงได้เปลี่ยนตำแหน่งเป็นกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม ที่ผ่านมา เพื่อแสดงตัวยืนยันว่าดำเนินการอย่างถูกต้องและพร้อมรับหากเจ้าหน้าที่จะดำเนินการกับนายอินทระศักดิ์ นอกจากนี้ได้ทำหนังสือร้องเรียนถึงพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อขอความเป็นธรรม ซึ่งก่อนหน้านี้ร้องเรียนไปที่ สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และหน่วยงานอื่นรวม 5 ครั้ง การดำเนินคดีของดีเอสไอ ไม่มีความชัดเจนในเรื่องข้อกฎหมาย ทั้งนี้จึงขอร้องขอความเป็นธรรมกับเจ้าหน้าที่ด้วย