คาดต่างชาติขาย 5 พันล้าน

คาดต่างชาติขาย 5 พันล้าน

คาดต่างชาติขาย 5 พันล้าน รับ "MSCI" ลดน้ำหนักหุ้นไทย

ตลาดหุ้นไทยผันผวนและแกว่งตัวขาลงช่วงนี้ ส่วนหนึ่งเกิดจากผลกระทบของการที่ดัชนีเอ็มเอสซีไอ จะลดน้ำหนักลงทุนในตลาดหุ้นเกิดใหม่ ซึ่งโบรกเกอร์ได้ประเมินผลกระทบดังกล่าว โดยคาดว่าจะมีเงินทุนต่างชาติมีโอกาสไหลออกจากตลาดหุ้นไทยไม่น่าเกิน 5 พันล้านบาท ซึ่งการเทขายในประเด็นดังกล่าวได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว 

ทั้งนี้ หากพิจารณาการซื้อขายของนักลงทุนแยกตามกลุ่มในเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา พบว่า ต่างชาติมียอดซื้อสุทธิ 5.52 พันล้านบาท สถาบันมียอดซื้อสุทธิ 3.5 พันล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ขายสุทธิ 3.16 พันล้านบาท และนักลงทุนในประเทศมียอดขายสุทธิ 5.87 พันล้านบาท 

บล.ทรีนีตี้ ระบุว่า การพิจารณาของดัชนี MSCI ในวันที่ 20 มิ.ย.2560 ว่าจะนำดัชนีหุ้น A-Shares ของจีนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของการคำนวณดัชนี MSCI EM หรือไม่ ซึ่งถ้าหากเกิดขึ้นจริง ฝ่ายวิจัยมองว่าจะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย แต่ไม่น่าจะมีนัยสำคัญมากนัก โดยคาดว่าน้ำหนักหุ้นไทยในดัชนี MSCI EM จะถูกปรับลดลงประมาณ 0.01% จากเดิมที่ประมาณ 2.2% ซึ่งน่าจะคิดเป็นเม็ดเงินไหลออกเพียง 5,000 ล้านบาทเท่านั้น

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนคาด SET Index อ่อนตัวลงจากการปรับตัวลงของราคาน้ำมันดิบ โดยจากการที่ล่าสุดดัชนีอยู่ในระดับกึ่งกลางจากกรอบบนและกรอบล่างของฝ่ายวิจัย แนวรับ 1,549 แนวต้าน 1,580 จึงยังไม่แนะนำ Overweight หรือ Underweight หุ้นในทางใดทางหนึ่ง แนะนำให้น้ำหนัก “เป็นกลาง” กับตลาดหุ้นไทยในเวลานี้

พร้อมเลือกถือหุ้นที่น่าสนใจเป็นรายกลุ่มไป อาทิเช่น กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีมูลค่าตามพื้นฐาน( Valuation) น่าสนใจมากที่สุด ยังคงได้แก่ หุ้นแบงก์ไทยพาณิชย์(SCB),เงินทุนธนชาต( TCAP),ทิสโก้( TISCO) กลุ่มหุ้นที่มีแนวโน้มถูกนำเข้าสู่การคำนวณดัชนี SET50 ในรอบถัดไป ที่ราคายังคงปรับตัวขึ้นไม่มาก ได้แก่หุ้นบ้านปูเพาเวอร์( BPP), หุ้นจัสมินอินเตอร์ (JAS ) กลุ่มสาธารณูปโภค( Utility)ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับสภาวะตลาดเวลานี้ ได้แก่ หุ้นบีซีพีจี(BCPG),ผลิตไฟฟ้า( EGCO),ผลิตไฟฟ้าราชบุรี(RATCH) กลุ่มบรรจุภัณฑ์และผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี ปลายน้ำที่เริ่มเห็นการปรับตัวของ Spread ที่ดีขึ้น ได้แก่หุ้นเอเจ( AJ), โพลีเพล็กซ์(PTL),วีนีไทย( VNT),ยูไนเต็ด เปเปอร์(UTP)

บล.ยูโอบีเคย์เฮียน คาดว่า การที่มูลค่าการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยปรับตัวสูงขึ้น น่าจะเกิดจากการปรับน้ำหนักหุ้นตามดัชนี MSCI ขณะที่เชื่อว่า ความคาดหวังต่ออัตราเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลงและตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ไม่น่าตื่นเต้น ทำให้ประเด็นการลงทุนของ SET Index ยังคงอยู่กับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ หรือที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวมากกว่าโดยฝ่ายวิจัย มองกลุ่มท่องเที่ยวน่าสนใจจากการฟื้นตัวต่อเนื่องหลังการปราบทัวร์ศูนย์เหรียญ ราคาห้องพักและอัตราการเข้าพักที่ดีขึ้น ขณะที่ธุรกิจอาหารที่ฟื้นตามการบริโภคในประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมผลักดันปี 2561 เป็นปีการท่องเที่ยวครั้งใหม่ ขณะที่ราคาหุ้นยังอยู่ในระดับต่ำมาเกือบ 2 ปี จะทำให้หุ้นเอราวัณ(ERW),ไมเนอร์( MINT),เซนเทล( CENTEL) มาอยู่ในความสนใจของตลาดอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม เมื่อ SET Index ถอยลงมาถึง 1560 จุด ทำให้ตลาดมีลุ้นฟื้นตัวระยะสั้น แต่ความเสี่ยงในการชะลอตัวตามแรงทำกำไรในหุ้นขนาดใหญ่เริ่มสูงขึ้น การเก็งกำไรควรเลือกหุ้นที่ยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นแรง และตั้งจุดตัดขาดทุนทุกครั้ง

บล.เอเซียพลัส ประเมินว่า แนวโน้มตลาดในเดือน มิ.ย. แม้จากสถิติย้อนหลัง 5 ปี พบว่า SET Index ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยราว 0.5% และเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้น 4 ใน 5 ปี โดยสาเหตุหนึ่งเกิดจากสถาบันในประเทศมักจะซื้อสุทธิหุ้นในเดือนนี้เฉลี่ยกว่า 8.7 พันล้านบาท อย่างไรก็ตาม ปีนี้มีโอกาสที่นักลงทุนสถาบันฯจะกลับมาขายสุทธิอีกครั้ง

โดยหากวิเคราะห์มูลค่าซื้อขายปรับตามมูลค่าตลาด ตั้งแต่ปี 2548 พบว่า สถาบันฯ ซื้อสุทธิสะสมหุ้นไทยมาอย่างต่อเนื่องและขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ในวันที่ 29 .. 60 ที่ผ่านมา ด้วยมูลค่ากว่า 1.5 แสนล้านบาท จึงทำให้เชื่อว่าสถาบันฯเหลือเงินสดน้อยแล้ว และมีโอกาสขายทำกำไรออกมาได้ในเดือนนี้

ยิ่งไปกว่านั้น Fund Flow ในเดือน มิ.ย. คาดว่ายังคงไหลออกอย่างต่อเนื่อง โดยตลาดน่าจะถูกกดดันจากการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ( Fed)ในวันที่ 13-14 มิ.ย. นี้ รวมถึงการผิดหวังต่อการผลักดันนโยบายของทรัมป์ และยังสอดคล้องกับสถิติย้อนหลัง 5 ปี พบว่า ต่างชาติขายสุทธิเฉลี่ยกว่า 1.07 หมื่นล้านบาท และเป็นการขายสุทธิถึง 4 ใน 5 ปี