‘2หญิงแกร่ง’ต่อจิกซอว์ ล็อกซเลย์ปั้น Own Brand

 ‘2หญิงแกร่ง’ต่อจิกซอว์ ล็อกซเลย์ปั้น Own Brand

โลกการค้าขายเปลี่ยนแปลงไปมาก จึงมองโอกาสสร้างความยั่งยืนให้ธุรกิจปั้นแบรนด์สินค้าตัวเอง เป็นคำตอบ ที่มา 2 หญิงแกร่ง ผนึกกำลัง ลุยตลาดสินค้าสุขภาพและความงาม

ไม่ได้รู้จักมักคุ้นกันมาก่อน แต่เพราะผู้ใหญ่ในบริษัทแม่ “บมจ.ล็อกซเลย์” เป็นแม่สื่อแม่ชักให้ผู้บริหารหญิง 2 ค่ายมาเจอกันคือ “โกสุม สินเพิ่มสุขสกุล” แห่งล็อกซเล่ย์ และ “ดร.พรรณวิภา พฤษฎาพงษ์” แห่งสเปเชียลตี้ อินโนเวชั่น กลายเป็นการ “ผนึกกำลังทางธุรกิจครั้งสำคัญ” เพื่อเสริมแกร่งสินค้าสุขภาพและความงาม

โกสุม สินเพิ่มสุขสกุล” กรรมการผ้จัดการ บริษัท ล็อกซเล่ย์ เทรดดิ้ง จำกัด ในเครือบริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด(มหาชน) บอกถึงการร่วมมือครั้งนี้ เพราะมองโจทย์ธุรกิจการค้าขายกำลังพลิกโฉม จึงอยากผลิตสินค้าภายใต้แบรนด์ตัวเอง(Own Brand) สักตัวขึ้นมาตอบสนองความต้องการตลาด ความโชคดีบังเกิด เมื่อผู้บริหารในบริษัทแม่รู้จักกับ “ผู้เชี่ยวชาญ” ในการวิจัยและพัฒนา ตลอดจนผลิตสินค้าด้านความงาม เลยนัดเจรจาหารือกันถึงความเป็นไปได้ในการเป็นพันธมิตรทางธูรกิจ

ล็อกซเล่ย์ เชี่ยวชาญด้านการจัดจำหน่ายและกระจายสินค้า การทำตลาด ส่วน สเปเชียลตี้ อินโนเวชั่น ตัวจริงเรื่องสมุนไพร การผลิตสินค้าเพื่อสุขภาพและความงาม อยู่ในตลาดมานาน จึงมองว่าน่าจะเป็นการ “จับคู่” ที่ดี

ผู้ใหญ่ในบริษัทแม่รู้จักกับอาจารย์หมวย(ดร.พรรณวิภาเลยนัดให้เจอ ได้คุยกัน ก็รู้สึกเข้ากันได้ การจะร่วมทุนเป็นพันธมิตรทางธุรกิจไม่ใช่แค่มีเงิน แต่ต้องชื่นชอบนิสัยใจคอกันด้วย ต้องเป็นคนที่พี่เลือกแล้ว ไว้ใจซึ่งกันและกัน เธอบอกและว่า ได้หารือกันไปถึงความเป็นไปได้ในการผลิตสินค้าร่วมกัน เวลานั้นที่คิดได้ คือมองไปที่สินค้าความงาม และตั้งโจทย์ให้พันธมิตรใหม่ว่า

“ไม่อยากได้สินค้าความงามแบบทั่วไป อยากทำอะไรที่มีจุดขาย อย่างคอลลาเจนก็ไม่ใช่แค่ดูแลผิวพรรณ แต่ช่วยดูแลเรื่องสุขภาพ” เพราะเธอมองไปถึงการช่วยให้ผู้บริโภคมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แล้วหาทางพัฒนาสินค้าให้ตรงกับความต้องการตลาด ไม่ใช่ว่าจะนึกอยากผลิตสินค้าใดก็ทำ

ผลการหารือตกผลึกได้ว่าทั้ง 2 จะร่วมทุนกันตั้งบริษัท ล็อกซเทรด สเปเชียลตี้ อินโนเวชั่น จำกัด หรือแอลทีเอสไอ ขึ้นมาด้วยทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท พร้อมกับปล่อยสินค้าแรกคอลลาจอย ภายใต้แบรนด์ตัวเองในนาม ริตะ”(Rita) เข้าทำตลาด จุดเด่นของสินค้าที่แตกต่างจากตลาดคือการใช้คอลลาเจนเปปไทด์ ไทพ์ทู มาเป็นส่วนผสมสำคัญ ท่ามกลางตลาดคอลลาเจน ที่ส่วนใหญ่ 99% จะเป็นคอลลาเจนเปปไทด์ ไทพ์วันและไทพ์ทรี

ส่วนการใช้แบรนด์ “ริตะ” เป็นภาษาญี่ปุ่น แปลว่าความสวยงาม การตั้งชื่อดังกล่าว เพราะต้องการให้มีความเหมาะสมกับตัวผลิตภัณฑ์ และความสวยงามแบบผู้หญิงญี่ปุ่น ก็ยิ่งทวีความน่ารัก

เพราะการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ มองถึงการเติบโตระยะยาว โกสุมบอกว่า ได้แบ่งบทบาทการทำงานชัดเจน โดยล็อกซเล่ย์จะหยิบจับงานที่ถนัด คือดูแลด้านการตลาด การขาย ตลอดจนมองขุมทรัพย์ทางการตลาดใหม่ๆว่าควรจะพัฒนาสินค้าใดออกมาสู่ตลาดเพิ่มเติม ดูทิศทางตลาดให้แม่นก่อนเคาะคลอดสินค้า

ในการผลิตสินค้าแต่ละตัว โกสุมบอกว่าให้ความสำคัญอย่างมาก โดยเริ่มตั้งความน่าเชื่อถือของผู้ผลิตสินค้า เพื่อให้ผู้บริโภค “กล้าซื้อ” ตลอดจน “จริยธรรม จรรรยาบรรณ” ที่มี โดยเธอขอการันตีคุณภาพด้วยตัวเอง 

สินค้าทุกตัวที่ออกมา พี่ลองเองหมด เราต้องกล้าใช้ กล้ากินนะ อะไรที่ออกจากล็อกซเล่ย์ เราต้องทำให้ผู้บริโภคเชื่อมั่นในตัวเรา”

ผลิตภัณฑ์คอลลาจอยแบรนด์ริตะ เป็นตัวประเดิมตลาด แต่ระยะยาว 5 ปี เธอหมายมั่นปั้น 10 สินค้าป้อนตลาด โดยย้ำว่าจะครอบคลุม “สุขภาพและความงาม” เนื่องจากตลาดดังกล่าวมีขนาดใหญ่มาก มูลค่าสูงถึง 7 หมื่นล้านบาท

หากมองภาพใหญ่ของล็อกซเล่ย์ เทรดดิ้ง ก่อนหน้านี้บริษัทมีสินค้าภายใต้แบรนด์ตัวเองอยู่แล้ว 3 แบรนด์ ในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคอย่างน้ำยาล้างจานคลีน่า สินค้าดูแลผิวพรรณ เป็นต้น

โกสุมบอกว่า ปัจจุบันการทำตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค นับว่ามีความท้าทายมากขึ้นทุกวัน และสินค้าทุกตัวก็เผชิญ “ความยาก” ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ต้องหาทางตั้งรับให้ได้ 

ทุกตัวมีคู่แข่งหมด ทุกคนต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด และเราก็ต้องดิ้นตามให้ได้ ให้ทัน ซึ่งการทำตลาดวันนี้ถือว่าชาเลนจ์ทุกตัว ไม่มีตัวไหนขายสบายเลยนะ” การจะอยู่รอดทางการค้า จึงไม่ใช่แค่ออกสินค้าใหม่แบรนด์ตัวเอง แต่ต้องมองหาโอกาสขยับขยายธุรกิจใหม่ๆเพิ่มขึ้น

จากเดิมรู้จักล็อกซเล่ย์เพียงผิวเผินว่าเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจตั้งแต่ไม้จิ้มฟันกระทั่งเรือรบ นั่นคือภาพแรกที่ ดร.พรรณวิภา กฤษฎาพงษ์” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สเปเชียลตี้ อินโนเวชั่น จำกัด มองก่อนตัดสินใจก้าวมาเป็น “พันธมิตร” กับล็อกซเล่ย์

เมื่อคุ้นกันกว่าเคย ก็เริ่มมองศักยภาพองค์กรจากบริษัทที่ไม่เคยผลิตสินค้าแบรนด์ตัวเองมาก่อน แต่ก็มีหัวกะทิทำหน้าที่วิจัยและพัฒนา กระทั่งผลิตสินค้าชนิดที่ ลูกค้าสนใจและให้ผลิตอะไร เราทำได้หมด” เธอบอกและขยายความว่า เมื่อได้เจอโกสุม และได้รับโจทย์ว่าต้องการผลิตสินค้าและแบรนด์เป็นของตัวเอง แต่เงื่อนไขเด็ดคือ ต้องมีจริยธรรม(Ethics) 

“ต้องไม่หลอกใครนะ ทำแล้วได้เงินเยอะๆไม่เอา สินค้าต้องมีประโยชน์ เป็นสินค้าเพื่อให้สุขภาพดี ถ้าเป็นไปได้ต้องมาจากธรรมชาติ ไม่มีเคมี ไม่มีผลข้างเคียง ได้วัตถุดิบของไทยยิ่งดี ที่สำคัญไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมด้วย โจทย์พี่ต้อย(โกสุม)เขาเยอะมาก” เธอบอก และได้แง่คิดที่ว่าอย่างน้อยผู้บริหารท่านนี้ก็เป็นคนที่มีจริยธรรมที่ดี เกิดเป็นความประทับใจแรกเริ่มทันที

ตกลงร่วมงานและรับโจทย์มาก ที่เห็นคือการทำสินค้าครั้งนี้เธอยาหอมว่าโกสุมมองความต้องการของผู้บริโภคได้ครอบคลุมมาก ตั้งแต่ผลิตสินค้าดี รสชาติอร่อยและเอื้อต่อสุขภาพ

เจาะลึกถึงการทำสินค้าคอลลาเจน เธอและทีมงานก็ควานหาว่าในโลกนี้มีผู้ประกอบการใดที่ใช้คอลลาเจนเปปไทด์ ไทพ์ทูบ้าง ผลคือมีเพียงญี่ปุ่น การบ้านถัดไปคือ ถ้าเราจะพัฒนาสินค้าใหม่(หลังคู่แข่ง)เราต้องไม่ดีเท่าที่เขามีอยู่แล้ว แต่อย่างน้อยที่สุด จะต้องพัฒนาให้ดีกว่าเขา” เป็นการตีโจทย์ที่โหดพอตัว แต่นั่นก็ทำให้การผลิตสินค้าคอลลาจอย ริตะ ไม่แค่มีคอลลาเจนเปปไทด์ ไทฟ์ทูปริมาณมาก แต่ยังเสริมวิตามินต่างๆเข้าไปเพิ่มเติม ให้เสริมทั้งสุขภาพและความงามไปพร้อมกัน

นอกจากผลิตภัณฑ์คอลลาจอย เธอยังมองเพิ่มพอร์ตสินค้าให้หลากหลายขึ้น แนวโน้มเทรนด์สังคมสูงอายุที่ขยายตัวมากขึ้น การทำให้ผู้บริโภคมีสุขภาพแข็งแรง สุขภาพดี มีความสุข ยังเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ ดังนั้น จึงวางแผนว่าอนาคตจะมีสินค้าใหม่ๆ ด้วยการมองว่าคนที่อายุมากขึ้น จะมีปัญหาทางสายตา อย่างนั้นก็เล็งผลิตเครื่องดื่มบำรุงสายตามาเสริมทัพ แต่นี่ไม่ได้แค่มองคนสูงวัย ด้วยยุคที่ผู้บริโภคจ้องจอต่างๆมากมาย ดังนั้นฐานลูกค้าก็ขยายกว้างขึ้น

ชราแล้ว ก็คงไม่มีใครอยากเป็นคนจดจำอะไรไม่ได้ หรือเอ๋อ! อีกกลุ่มที่ให้น้ำหนักคือสินค้าที่ช่วยเรื่องความจำ จากนั้นทำอย่างไรจะให้ผู้คนมีภูมิต้านทานที่ดี ไม่ป่วย อายุยืน ก็เป็นสินค้าแห่งโอกาสเช่นกัน และปิดท้าที่พออายุมากขึ้น ระบบเผาผลาญหรือเมตาบอลิซึ่มแย่ลง เครื่องดื่มที่ช่วยร่างกายเผาผลาญ เปลี่ยนไขมันเป็นกล้ามเนื้อ ก็น่าสนใจไม่น้อย

การทำสินค้าใหม่ ไม่ได้มองแค่เทรนด์ตลาดภายนอกเท่านั้น แต่เธอวิจัยลึกไปข้างในว่า คนจะสุขภาพดีและสวยได้จะต้องมาจาก “ภายใน” หรือ Inside out เป็นทางสู่ความยั่งยืน (Long lasting beauty)

“กินผลิตภัณฑ์เสริมอาหารให้เป็นยา ก็ป้องกันเรื่องสุขภาพได้ Inside out ทานอะไรก็ได้แบบนั้น”

มีโรงงานผลิตสินค้า 3 แห่ง และแห่งที่ 4 คือการรุกสู่การร่วมทุนกับ 1 ในองค์กรยักษ์ใหญ่ เป็นจิ๊กซอว์ใหม่ของ ดร.พรรณวิภา ที่ขยับจาก “ห้องแล็บ” สู่ “สังเวียนธุรกิจ”

โดย 2 หญิงเก่ง จะมาร่วมกันปั้นยอดขาย 1,000 ล้านบาท ใน 5 ปีแรก จับตาดูว่า “ความสำเร็จ” จะอยู่แค่เอื้อม หรือต้องออกแรงฮึด! เพื่อให้ได้มาซึ่งเป้าหมาย