สุดดีใจ! สามพ่อแม่ลูกเจอหน้าครั้งแรก หลังพลัดพราก15ปี

สุดดีใจ! สามพ่อแม่ลูกเจอหน้าครั้งแรก หลังพลัดพราก15ปี

สามพ่อแม่ลูก พบหน้ากันหลังพลัดพรากไป 15 ปี แม่บอกเมื่อลูกอยู่สบาย ไม่คิดจะขอกลับคืน แต่ดีใจที่เห็นหน้าลูกอีก

ที่ว่าการอำเภอเต่างอย จังหวัดสกลนคร นายปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุล เพื่อเด็กและสตรี พร้อมด้วย ด.ช.บอย นามสมมุติ อายุ 14 ปี เข้าพบ พันจ่าอากาศเอกพูนสุข ทะแพงพันธุ์ นายอำเภอเต่างอย เพื่อขอคำแนะนำในการทำหลักฐานบัตรประจำตัวประชาชน เนื่อง จากเด็กได้พลัดพรากจากพ่อแม่ที่แท้จริงไปตั้งแต่เด็ก ทำให้ไม่ได้หลักฐาน เพื่อทำบัตรประจำตัวประชาชน

 และทันทีที่ นายเสงี่ยม ยะพลหา อายุ 46 ปี นางสมจิตร สมบูรณ์ทรัพย์ อายุ 50 ปี ชาวบ้านนาอ่าง ต.นาตาล อ.เต่างอย จ.สกลนคร พ่อแม่ที่ให้กำเนิดได้เห็นหน้าลูกชาย ถึงกับกลั้นน้ำตาไม่อยู่ เข้าสวมกอดลูกชายที่ตนเองได้มอบให้กับคนอื่นไปเลี้ยงดูเมื่อ 15 ปีที่แล้ว

โดยบรรยากาศเป็นไปด้วยความอบอุ่น ซึ่งนางสมจิตร แม่ผู้ให้กำเนิด กล่าวว่า เมื่อ15ปีก่อน ตนเองคลอดลูกคือ เด็กชายบอย อายุได้ 2 เดือน ระหว่างไปทำงานรับจ้างที่จังหวัดภูเก็ต วันหนึ่งได้มีผู้หญิงคนหนึ่ง มาขอรับลูกไปเป็นเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม ตอนแรกตนเองไม่ยอมให้ แต่หญิงคนดังกล่าวมาอ้อนวอนอยู่ถึง 3 วัน จึงใจอ่อนยอมยกลูกให้ไป เมื่อวันที่หญิงคนดังกล่าวได้มารับ ด.ช.บอยไป ก็ไม่ได้ให้ที่อยู่หรือเบอร์โทรศัพท์ติดต่อกลับ และไม่ได้มีการติดต่อหากันอีกเลย จนมาทราบข่าวว่า มีการมาตามหาพ่อแม่ที่แท้จริงของเด็กชายบอย และเมื่อเห็นหน้าลูกก็ดีใจ แต่ถามว่าจะเอากลับมาเลี้ยงหรือไม่ คงต้องแล้วแต่เด็ก ตนเองและสามีก็หาเช้ากินค่ำ คงไม่มีปัญญาเลี้ยงแน่นอน เพราะตอนนี้ก็มีลูกรวม 3 คน เป็นผู้หญิงทั้งหมด กำลังอยู่ในวัยเรียน และที่ตัดสินใจยกเด็กชายบอย ให้กับหญิงคนดังกล่าว ก็เพราะจนปัญญา ไม่มีปัญญาเลี้ยง เพราะตอนนั้นก็รับจ้างทั่วไป

 และหลังที่ได้มีการพูดคุยเบื้องต้นต่อหน้าสักขีพยาน พ่อแม่เด็กที่แท้จริง คือนายเสงี่ยม และนางสมจิตร ได้ตกลงที่จะยกเด็กชายบอยให้เป็นลูกบุตรธรรม กับนายเอก พ่อเลี้ยงที่เลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็ก จากนั้นได้มีการยื่นหลักฐานขอถ่ายบัตรประจำตัวประชาชน เพื่อจะนำไปเป็นหลักฐานในเรื่องของการศึกษาต่อ ส่วนการทำหลักฐานอื่นๆจะดำเนินการต่อไปภายหลัง

นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาฯ กล่าวว่า ได้ประสานมายัง นายพูนสุข ทะแพงพันธ์ นายอำเภอเต่างอย จ.สกลนคร เพื่อช่วยตรวจสอบชื่อ-ที่อยู่ ของพ่อแม่ ด.ช.บอยที่ระบุในสูติบัตร โดยพบว่าพ่อแม่ของด.ช.บอย มีภูมิลำเนาอยู่ใน ต.นาตาล อ.เต่างอย จ.สกลนคร เมื่อสอบถามเบื้องต้น ทั้งสองสามีภรรยาก็ยอมรับว่า ได้เคยให้ลูกชายกับนางโบ (นามสมุติ) ไปจริง เนื่องจากมีอาชีพรับจ้างกลัวจะดูแลเลี้ยงไม่ไหว หลังข้อมูลตรงกัน จึงนัดหมายให้ทั้งพ่อแม่บุญธรรม และด.ช.บอย ได้ลงมาพบกับพ่อแม่ที่แท้จริง และดำเนินเรื่องในการทำบัตรประชาชนและทำบันทึกการยกลูกให้กับนายเอกให้เรียบร้อย เพื่อที่ ด.ช.บอย จะได้กลับไปเรียนหนังสือ และใช้ชีวิตตามปกติ ซึ่งพ่อแม่ทั้งสอง ก็มีความยินดีที่จะให้พี่น้องได้พบปะติดต่อพูดคุยกัน

พันจ่าอากาศเอก พูนสุข ทะแพงพันธ์ นายอำเภอเต่างอย กล่าวว่า การรับเป็นบุตรธรรมนั้น ได้ให้ไปยื่นเรื่องที่ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.)จ.สมุทรปราการ พื้นที่ภูมิลำเนาของพ่อบุญธรรม และพม.สมุทรปราการก็จะส่งเรื่องมายังอำเภอ และเป็นขั้นตอนที่พ่อแม่ที่แท้จริงจะตัดสินใจ แต่วันนี้ได้ให้ทำบัตรประจำตัวประชาชน เพื่อเด็กจะได้นำไปยื่นในเรื่องของการศึกษา ส่วนขั้นตอนต่างๆที่เหลือเป็นเรื่องของผู้ปกครองจะพูดคุยกันซึ่งเรื่องดังกล่าวไม่ต่างจากละคร เมื่อนายเอก (นามสมมุติ) อายุ 52 ปี ชาว จ.สมุทรปราการ อาชีพรับเหมาทำระบบไฟ พร้อม ด.ช.บอย (นามสมมุติ) อายุ14ปี ลูกชาย เข้าร้องทุกข์ต่อนางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาฯ โดยนายเอกขอความช่วยเหลือให้ช่วยติดตามหาพ่อแม่ที่จริงของด.ช.บอย หลังให้การเลี้ยงดูมาเสมือนลูกแท้ ๆ ตลอดเวลากว่า 14 ปี แต่เพิ่งมารู้ความจริงว่าไม่ใช่ลูกแท้ๆ และการตามหาครั้งนี้ก็เพื่อจะได้ให้ทางพ่อแม่ที่แท้จริงของด.ช.บอยนั้น ได้จัดการทำเรื่องยกลูกให้เป็นบุตรบุญธรรมให้ถูกต้องตามกฎหมายและเด็กจะได้ทำบัตรประชาชนและเรียนต่อได้

นายเอก กล่าวว่า ตนอยู่กินกับนางโบ (นามสมมุติ) อายุ 47 ปี ภรรยา ซึ่งเป็นชาว อ.ถลาง จ.ภูเก็ต มานานกว่า 15 ปี มีลูกชายคนเดียว คือ ด.ช.บอย ก็รักและเลี้ยงดูมาอย่างดี เมื่อไม่กี่เดือนมานี้ภรรยาตนได้ขอกลับไปเยี่ยมญาติที่ภูเก็ต ต่อมาตนจะพาลูกชายไปทำบัตรประชาชนจึงได้ค้นหาเอกสารสูติบัตร ก็พบว่าตู้เอกสารที่ภรรยาเก็บไว้ถูกล็อคกุญแจไว้อย่างแน่นหนาจึงสงสัยและช่วยกันกับลูกงัดกุญแจออกก็พบเอกสารจำนวนมาก ทั้งใบสูติบัตร ระเบียบผลการเรียนของด.ช.บอย แต่เมื่อตรวจสอบดูก็ต้องแปลกใจเนื่องจากเอกสารทั้งหมดมีการแก้ไขชื่อ นามสกุล ของด.ช.บอย โดยใช้น้ำยาลบคำผิดลบก่อนถ่ายเอกสารขึ้นมาใหม่ โดยในสำเนาใบสูติบัตรได้ระบุชื่อ นามสกุล ของเด็กชายอีกคน ที่เกิดวัน เดือน ปีเดียวกับลูกชายตน และชื่อพ่อแม่ที่ให้กำเนิดนั้นเป็นชาว จ.สกลนคร เมื่อตนถามลูกชายตนก็บอกว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาแม่ให้ใช้ชื่อนามสกุล คนละแบบกับที่พ่อตั้งให้และแม่สั่งว่าห้ามไปบอกพ่อ มิฉะนั้นแม่จะอยู่ที่บ้านไม่ได้ ลูกชายก็เลยเก็บเป็นความลับมาตลอด ทั้งที่ไม่รู้ว่าความจริงมันคืออะไร

 “ต่อมาผมได้ประมวลเรื่องราวทั้งหมดถึงจะเอะใจคิดได้ว่า ด.ช.บอย อาจจะไม่ใช่ลูกของผม เพราะเมื่อ15ปีก่อน ผมต้องเดินทางไปทำงานต่างจังหวัดเป็นประจำ ครั้งละเป็นเดือน นานๆ จะได้กลับมาบ้านสักที วันหนึ่งนางโบ ได้บอกว่าตัวเองท้องจึงขอกลับบ้านไปอยู่กับญาติที่ภูเก็ตเพื่อจะได้มีคนดูแล ผมก็เห็นด้วย จากนั้นนางโบก็ให้โอนเงินให้เป็นประจำ ครั้งละ1-2แสนบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่าย เมื่อเวลาจะขอไปเยี่ยมก็ปฏิเสธจนวันหนึ่งนางโบก็โทรศัพท์มาบอกว่าคลอดลูกแล้วให้ไปรับกลับมาบ้าน เมื่อไปถึงภูเก็ตนางโบก็ไม่ยอมให้ไปรับที่บ้าน กลับให้ไปรับที่ห้องเช่าแห่งหนึ่ง ซึ่งก็ยังสงสัยแต่เมื่อเห็นหน้าลูกก็ดีใจจนไม่ได้คิดหรือถามซักไซ้อะไรมาก ก่อนพากันมาอยู่บ้านที่จ.สมุทรปราการ โดยนางโบจะดำเนินการเรื่องพาลูกเข้าโรงเรียน พาลูกไปหาหมอเองทุกครั้ง เวลาที่เอาใบผลการเรียนลูกมาให้ดูก็เป็นใบถ่ายเอกสารตนก็ไม่ได้สังเกต จนเรื่องมาแดงขึ้น ตนก็เกรงว่านางโบอาจจะไปขโมยลูกใครมา เพราะเมื่อถามไปก็จะได้รับคำตอบบ่ายเบี่ยงทุกครั้ง

ล่าสุดอ้างว่าด.ช.บอย เป็นลูกของเพื่อน ซึ่งทางนั้นมีลูก 6 คน เลี้ยงไม่ไหวเลยยกให้มา ที่ทำไปเพราะตัวเองมีลูกไม่ได้และอยากมีลูกมากและกลัวว่าสามีจะไม่รัก สงสารลูกมากตั้งแต่รู้ความจริงก็ไม่กล้าไปโรงเรียนเพราะอายเพื่อนและกลัวพ่อจะไม่รักเมื่อรู้ว่าไม่ใช่ลูก ซึ่งก็ได้ปลอบลูกและถือว่าด.ช.บอยเป็นลูกชายของผมไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม ส่วนภรรยาของผมหลังทุกคนรู้ความจริงก็ได้ขอกลับไปเยี่ยมญาติที่ภูเก็ตและยังไม่เดินทางกลับมา ผมได้บอกเรื่องนี้กับพี่สาวและปรึกษากันก่อนตัดสินใจเข้าร้องทุกข์มูลนิธิปวีณาฯ”นายเอก กล่าว