ศาลแพ่งยกฟ้องไต่สวนฉุกเฉิน 'IFEC'

ศาลแพ่งยกฟ้องไต่สวนฉุกเฉิน 'IFEC'

ศาลแพ่งยกฟ้องไต่สวนฉุกเฉินประชุมสามัญผู้ถือหุ้น "IFEC" เหตุมูลฟ้องไม่เพียงพอ ด้าน "หมอวิชัย" พร้อมเปิดทางสภาวิชาชีพบัญชี-ก.ล.ต.เข้าสอบ

ศาลแพ่งยกฟ้องคำขอไต่สวนฉุกเฉินประชุมสามัญผู้ถือหุ้น บมจ.อินเตอร์ ฟาร์อีสท์ เอ็นเนอร์ยี่ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (IFEC) เนื่องจากมูลฟ้องไม่เพียงพอ โดยกรณีดังกล่าวนายทวิช เตชะนาวากุล ผู้ถือหุ้นใหญ่ IFEC พร้อมด้วยผู้ถือหุ้นรายย่อย ร้องขอต่อศาลแพ่งพิจารณาไต่สวนฉุกเฉินเพิกถอนมติที่ประชุมสามัญประจำปี 2560

คดีดังกล่าวเป็นการยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 4 พ.ค.60 โดยนายทวิช พร้อมผู้ถือหุ้นรายย่อยรวม 8 คนยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนมติที่ประชุมผู้ถือหุ้นสามัญประจำปี 2560 ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 2 พ.ค.60 เพื่อคัดเลือกกรรมการแทนกรรมการที่ครบวาระ 3 คน โดยนายวิชัย ถาวรวัฒนยงค์ ประธานในที่ประชุมได้ใช้วิธีการลงคะแนนแบบสะสม หรือ Cumulative voting ที่กำหนดให้ 1 หุ้นมีสิทธิลงคะแนน 3 เสียง เนื่องจากผู้ถือหุ้นกลุ่มดังกล่าวเห็นว่าเป็นมติที่ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับของบริษัท เป็นมติที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย พร้อมกับขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวก่อนศาลมีคำพิพากษา

ด้านนายวิชัย ถาวรวัฒนยงค์ ประธานกรรมการ บริษัท อินเตอร์ ฟาร์อีสท์ เอ็นเนอร์ยี่ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ IFEC เปิดเผยว่า ยินดีให้ความร่วมมือกับหน่วยงานกลาง เข้ามาทำการตรวจสอบบัญชีบริษัท เนื่องจากที่ผ่านมา บริษัท กรินทร์ ออดิท จำกัด เป็นผู้ตรวจสอบบัญชีบริษัท และส่งข้อมูลให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้มีการตรวจสอบบริษัทอยู่แล้ว

"ผมไม่มีความกังวล ต่อการร้องเรียนเรื่องตรวจสอบใดๆ เพราะผมพร้อมให้ความร่วมมือกับหน่วยงานกลางมาโดยตลอด แต่สิ่งที่ผมจะขอร้อง ผมขอเพียงกลุ่มกรรมการใหม่ ควรมาร่วมกันทำให้บริษัทดำเนินธุรกิจไอเฟคให้เดินหน้าต่อไปดีกว่า"

สำหรับงบการเงินของบริษัท ได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาไปได้มากแล้ว เหลือเพียง บริษัท อินเตอร์ ฟาร์อีสท์ เทอร์มอล จำกัด ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการรอกรมพัฒนาธุรกิจ กระทรวงพาณิชย์ พิจารณาคัดค้านกรรมการที่ไม่ได้นั่งทำงาน และไม่ยอมลาออกเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2560 หากการดำเนินการดังกล่าวเรียบร้อย จะสามารถปิดงบการเงินปี 2559 ได้

"ผมต้องการขอความร่วมมือ ให้มาประชุมกันภายในโต๊ะคณะกรรมการ เพราะหากออกไปพูดอย่างเดียวแล้วไม่ได้มีการแก้ไขปัญหาเลย และให้ข้อมูลที่ไม่ชัดเจน จะยิ่งสร้างผลกระทบในเชิงลบ และทำให้บริษัทขาดความน่าเชื่อถือ ดังนั้นการแก้ไขปัญหาเรื่องการปลด SP ก็จะยิ่งล่าช้า และทำให้ผู้ถือหุ้ทุกรายได้รับความเดือดร้อน"