รัฐแบกภาระเดือนละพันล้าน สั่งระบายข้าวเหลือค้างสต็อก5ล้านตัน

กระทรวงพาณิชย์ จัดงานประชุมข้าวนานาชาติ หรือ “Thailand Rice Convention 2017” โดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ได้กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ การค้าข้าวไทยและทิศทางในอนาคต ซึ่งระบุว่า ข้าวเป็นสินค้าที่ส่งออกหลักของไทย ปัจจุบันนี้มีเกษตรกรผู้ปลูกข้าวกว่า 4 ล้านครัวเรือน มีปริมาณการส่งออกปีละ 10 ล้านตัน มูลค่า 1.5 แสนล้านบาท จะต้องสร้างองค์ความรู้ โดยบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องเข้ามาแก้ไขปัญหา

โดยเฉพาะกลุ่มประเทศCLMV ที่ปลูกข้าวเหมือนกัน เพื่อช่วยกันสร้างมูลค่าเพิ่ม และยกระดับราคาข้าวโลก และต้องผลักดันให้ไทยเป็นผู้นำการส่งออกข้าว ซึ่งวันนี้รัฐบาลได้สนับสนุนการสร้างตลาดเพื่อรองรับผลผลิตจากเกษตรกร ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ

ส่วนการแก้ไขปัญหาข้าวในสต๊อก ที่มีความกังวลจะกระทบต่อราคาในตลาดนั้น จะต้องมีการวางแผน ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลได้เร่งระบายข้าวในสต๊อก เพราะรัฐบาลต้องแบกรับภาระเดือนละกว่า 1พันล้านบาท และที่ผ่านมาในช่วง 2-3 ปี รัฐบาลได้ระบายข้าวออกไปแล้ว 13 ล้านตัน ทำให้ขณะนี้เหลือข้าวในสต็อก 5 ล้านตัน ทั้งนี้รัฐบาลได้วางแนวทางการจัดพื้นที่ปลูกข้าว เพื่อให้มีปริมาณข้าวที่มีคุณภาพ โดยการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมาผู้ที่เกี่ยวข้องได้จัดทำแผนยุทธศาสตร์ข้าวระยะ 5 ปี ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี ซึ่งขณะนี้ได้ดำเนินการไปแล้วในบางเรื่อง

ขณะเดียวกันรัฐบาลจะช่วยสนับสนุนและให้คำปรึกษา การส่งเสริมการนำนวัตกรรมมาต่อยอดการผลิต นอกจากนี้ยังสนับสนุนให้มีการรวมกลุ่มเป็นนาแปลงใหญ่ เพื่อผลิตข้าวให้ได้คุณภาพ ลดต้นทุนการผลิต และเพื่อสร้างอำนาจในการต่อรองราคา

ด้านนางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า งานนี้ได้นำเสนอแนวคิด “Rice Plus : ข้าวไทย ก้าวใหม่...ด้วยนวัตกรรม” เพื่อแสดงให้เห็นถึงศักยภาพและความพร้อมของประเทศไทยในการเป็นผู้นำการผลิตและแหล่งซื้อขายข้าวคุณภาพดีของโลก และโชว์นวัตกรรมข้าวไทยที่นำเทคโนโลยี ขั้นสูงมาแปรรูปข้าวให้เป็นสินค้าเชิงพาณิชย์ที่สามารถเพิ่มมูลค่าทางการตลาด สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งเน้นขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรม หรือ Value-based Economy ภายใต้โมเดล “ประเทศไทย 4.0”

โดยมีผู้เข้าร่วมงาน จากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนทั้งในและต่างประเทศ กลุ่มผู้นำเข้าข้าว ผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมข้าว พร้อมด้วยผู้แทนการค้าจากหน่วยงานภาครัฐในประเทศผู้ซื้อ ผู้ผลิต ผู้ส่งออกที่สำคัญ อาทิ สาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่น มาเลเซีย อิรัก อิหร่าน สเปน อังกฤษ ไนจีเรีย เคนยา แอฟริกาใต้ เวียดนาม กัมพูชา และสปป. ลาว เป็นต้น ตลอดจนผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ เกษตรกร และสื่อมวลชน รวมกว่า 1,000 คน