กรธ.จ่อส่งร่างกฎหมายลูก ลำดับ3ให้สนช.29พค.นี้

กรธ.จ่อส่งร่างกฎหมายลูก ลำดับ3ให้สนช.29พค.นี้

"อุดม" เผย29พ.ค.นี้ เตรียมส่งร่างพ.ร.ป.วิธีพิจารณาคดีอาญาของนักการเมือง ให้ "สนช." เผย 4 สาระที่ปรับแก้ไข ทั้งเพิ่มสิทธิผู้พิพากษา เรียกคนเกี่ยวข้องมาชี้แจง-ให้ ผู้ยื่นฟ้อง-ผู้ฟ้องใช้สิทธิอุทธรณ์คดีได้

นายอุดม รัฐอมฤต โฆษกคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เปิดเผยว่าในวันที่ 29 พ.ค. กรธ. เตรียมส่งร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งถือเป็นกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญลำดับที่ 3 ที่จะส่งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณา สำหรับสาระสำคัญของร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นั้น

ประกอบด้วย 1. กำหนดให้วิธีพิจารณาของศาลใช้แบบระบบไต่สวนที่มีความชัดเจนและกว้างขวางมากยิ่งขึ้นต่อการค้นหาความจริงในคดี โดยไม่ปิดกั้นการใช้ดุลยพินิจของผู้พิพากษาในคดีที่จะเชิญบุคคลที่เกี่ยวข้องกับผู้ถูกกล่าวหามาให้ข้อมูล แม้จะเป็นบุคคลที่ฝ่ายผู้ฟ้องหรือจำเลยไม่แจ้งหรือระบุให้ศาลตรวจสอบเพิ่มเติม นอกจากนั้นยังกำหนดให้ศาลสามารถแสวงหาข้อเท็จจริง จากการตั้งผู้พิพากษาเพื่อค้นหาพยานหลักฐานได้อย่างเต็มที่ โดยสิ่งที่บัญญัติดังกล่าวเพื่อแก้ปัญหาต่อกรณีที่ผู้พิพากษาอาจถูกมองว่าได้ใช้การเสาะแสวงหาข้อเท็จจริงที่ไม่เป็นกลางหรือไม่

นายอุดม กล่าวด้วยว่า 2.การพิจารณาคดี โดยปกติเมื่อมีผู้ฟ้องและศาลลงประทับรับฟ้องแล้ว ต้องตั้งองคณะผู้พิพากษาจากที่ประชุมใหญ่ของศาลฏีกา โดยเลือกจำนวน 9 คน แต่กรณีที่พบว่าไม่ครบจำนวนดังกล่าว ร่าง พ.ร.ป.ฉบับของกรธ. ได้ปรับให้สามารถดำเนินการได้ แต่ต้องมีองคณะไม่ต่ำกว่า 7 คน จากเดิมที่ต้องคัดเลือกใหม่และยืนยันต้องครบ 9 คน ทั้งนี้การพิจารณาคดีต้องยึดสำนวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นหลัก แต่ไม่ปิดกั้่นที่ผู้พิพากษาจะหาข้อมูล ข้อเท็จจริงเพิ่มเติม, 3. สิทธิในการต่อสู้ของผู้ถูกกล่าวหา ยังเป็นไปตามที่กฎหมายอื่นๆ ซึ่งเกี่ยวข้องในคดีบัญญัติไว้ นอกจากนั้นยังให้สิทธิผู้ถูกกล่าวหาคัดสำนวนฟ้อง และรายละเอียดของสำนวนการไต่สวน ของ ป.ป.ช. และรับรู้ข้อเท็จจริง จากเดิมที่จะรับรู้เฉพาะคำฟ้องเท่านั้น

“สิทธิอุทธรณ์ของผู้ต้องคำพิพากษานั้น ตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่กำหนดให้อุทธรณ์ได้ทั้งกรณีมีข้อเท็จจริงใหม่ และข้อกฎหมาย กรณีที่ผู้ต้องคำพิพากษาเห็นว่าการพิพากษาในเชิงกำหนดความผิดขั้นตรงตามที่กฎหมายเขียนไว้หรือไม่ ซึ่งสิทธิอุทธรณ์นั้น ทั้งฝ่ายผู้ฟ้อง และ ฝ่ายผู้ถูกกล่าวหาสามารถนำมาใช้ได้เท่าเทียมกัน อย่าไงรก็ดีสิทธิอุทธรณ์ที่มีการแก้ไขใหม่นั้น จะไม่มีผลต่อคดีที่ศาลมีคำพิพากษาแล้วเสร็จและเกินระยะเวลาอุทธรณ์ 30 วันหลังจากที่ศาลมีคำพิพากษาไปแล้ว หากเป็นคดีที่ค้างอยู่ในชั้นศาลสามารถนำมาปรับใช้กับกฎหมายใหม่นี้ได้” นายอุดม กล่าว

นายอุดม กล่าวด้วยว่า และ 4. ประเด็นการนำตัวผู้ถูกกล่าวหามาขึ้นศาลเพื่อดำเนินกระบวนการพิจารณาคดี ตามร่าง พ.ร.ป.วิธีพิจารณาคดีอาญาฯ ที่กรธ. เตรียมเสนอ สนช. นั้นได้ปรับให้ ในขั้นตอนการยื่นฟ้อง และการพิจารณาคดีของศาล หากได้แสดงหลักฐานแล้วว่าไม่สามารถนำผู้ที่ถูกฟ้องมาแสดงตัวต่อศาลได้ ด้วยเหตุต่างๆ เช่น หลบหนี ให้การพิจารณาคดีของศาลสามารถเดินหน้าได้ แต่ไม่ได้ตัดสิทธิผู้ถูกฟ้องแต่งตั้งทนายเพื่อต่อสู้คดี ขณะที่ในชั้นอุทธรณ์กำหนดไว้ชัดเจนว่า การจะอุทธรณ์คำพิพากษาได้นั้น ผู้ที่ต้องคำพิพากษาต้องมาปรากฎตัว เพื่อขอต่อสู้คดี รวมถึงเมื่อปรากฎตัวแล้วยังสามารถขอรื้้อฟื้นคดีได้

“กรณีไม่มีตัวจำเลยมาแสดงต่อศาล เพื่อรับฟังขั้นตอนและสิทธิในการต่อสู้ เหมือนที่เคยกำหนดเป็นสิทธิไว้ ผมมองว่าอาจเป็นประเด็นที่ ในชั้น สนช. อาจมีข้อถกเถียง ในกรณีที่ขัดต่อหลักยุติธรรมของสากลหรือไม่ แต่สิ่งที่กรธ. เขียนนั้นสามารถชี้แจงและอธิบายได้ว่า ต้องเขียนเพื่อให้เป็นการแก้ปัญหาให้บ้านเมืองกรณีคดีที่ผ่านมาที่พบว่านักการเมืองจะหนีคดีและไม่สามารถตามตัวมาลงโทษได้ ดังนั้นต้องแก้ไขเพื่อให้ศาลได้ตัดสิน ใน 2 ส่วน คือ ส่วนที่ผิดหรือถูก และส่วนกรณีที่ผิด จะลงโทษอย่างไร ขณะที่มุมมองอีกฝ่ายอาจมองว่า ผิดแล้ว แต่นำตัวมารับโทษไม่ได้ก็สูญเปล่านั้น ผมมองว่าต้องขึ้นอยู่กับระบบติดตามและจับตัวมาลงโทษด้วย อย่างไรก็ดีประเด็นนี้หากมีผู้เสียประโยชน์ อาจนำไปสู่การขึ้นความให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความได้เช่นกัน ต่อให้ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไรต้องขึ้นอยู่กับกระบวนการที่เกี่ยวข้องด้วย ทั้งการตรากฎหมายที่ สนช.ต้องช่วยพิจารณา” นายอุดม กล่าว