MINT - ซื้อ

MINT - ซื้อ

กำไรเด่นปี 2560 ที่รอคอย

ประเด็นการลงทุน

เราเชื่อมั่นว่ากำไรหลักจะเติบโตแข็งแกร่งในปี 2560 เนื่องจากการลงทุนเมื่อสองปีที่แล้วจะเริ่มให้ผลตอบแทนและออกดอกออกผลอย่างจริงจังในปีนี้ โดยเราคาดราคาหุ้นสามารถจะปรับสูงขึ้นได้ จากการที่ผู้ถือหุ้นชาวต่างชาติ (ปัจจุบันถือ 45%) อยู่ในระดับใกล้เคียงกับช่วงที่มีเหตุการณ์ระเบิดในเดือน ส.ค. 2558 หลังจากที่เคยไปแตะจุดสูงสุดที่ 50% ในไตรมาส 2/59 โดย MINT เป็นบริษัทที่เราชอบที่สุดในกลุ่ม ท่องเที่ยวและสันทนาการ ดังนั้น เรายังคงคำแนะนำ “ซื้อ” โดยให้ราคาเป้าหมายที่คิดจากวิธีคิดลดกระแสเงินสดที่ 42 บาท/หุ้น (WACC ที่ 7.3% และ terminal growth rate ที่ 2.0%) 

การดำเนินงานดีแบบไม่หยุดยั้งแม้เดือน เม.ย.

ผลการดำเนินงานในทุกธุรกิจหลักยังคงแข็งแกร่งในเดือน เม.ย. 2560 โดยแม้จะมีฐานสูงในเดือน เม.ย. 2559 เนื่องจากมีนโยบายกระตุ้นการจับจ่ายจากภาครัฐ แต่ยอดขายสาขาเดิมเฉลี่ยสำหรับธุรกิจอาหารของ MINT ยังเติบโต 1% YoY ขณะที่ผู้ดำเนินธุรกิจอาหารรายอื่นส่วนมากรายงานยอดขายสาขาเดิมชะลอตัว YoY ในเดือน เม.ย 2560 โดยเราคาด
รายได้ต่อห้องพักที่มีให้บริการจากธุรกิจโรงแรมที่บริษัทเป็นเจ้าของเองเติบโตแบบปกติด้วยตัวเลขสองหลัก YoY ในเดือน เม.ย. และสิ่งที่ดีกว่าคาดเป็นสัญญานบวกมากที่สุดคือรายได้ต่อห้องพักที่มีให้บริการในมัลดีฟ ในเดือน มี.ค. และ เม.ย. พลิกเป็นเติบโต YoY ติดต่อกันหลายเดือน หลังจากที่ชะละตัว YoY มาตลอดหลายปีทีผ่านมา อีกทั้งรายได้จากธุรกิจปันส่วนเวลาก็เริ่มฟื้นตัวแข็งแกร่งต่อเนื่องหลังจากที่ได้มีการปรับกลยุทธ์การขายในปี 2559

เด่นกว่าบริษัทอื่นในกลุ่มในช่วงโลว์ซีซั่นของการท่องเที่ยวไทย

เราคาด MINT จะมีผลการดำเนินงานที่โดดเด่นกว่าบริษัทอื่นในกลุ่มในช่วงโลว์ซีซั่นในไตรมาส 2/60-3/60 เนื่องจากมีการกระจายรายได้ที่ดีกว่า โดยฤดูกาลที่ดีที่สุดของโรงแรม Tivoli 12 แห่งในประเทศโปตุเกสเริ่มขึ้นในเดือน มิ.ย. และจะดีขึ้นมากอย่างมีนัยสำคัญในเดือน ก.ค.- ก.ย. โดยนอกจากอัตราการเข้าพักโรงแรม Tivoli จะเติบโตในช่วงฤดูกาลที่ดีแล้วเรามองว่ายังตามมาด้วยราคาค่าห้องพักที่ปรับตัวสูงขึ้นหลังการปรับปรุงโรงแรม Tivoli 5 แห่ง เสร็จสิ้นในปีนี้ (สองแห่งแล้วเสร็จในไตรมาส 1/60, สามแห่งจะแล้วเสร็จในไตรมาส 3/60) ทำให้เรามั่นใจมากว่ากำไรหลักของบริษัทจะเติบโตดี YoY ในไตรมาส 2/60 (แต่จะลดลง QoQ เนื่องจากเป็นช่วงโลว์ซีซั่น) และจะเติบโตดีทั้ง YoY และ QoQ ในไตรมาส 3/60

แนวโน้มรายได้จากธุรกิจอสังหาฯเข้ามาต่อเนื่อง

ตลาดไม่ควรกังวลเรื่องความเสี่ยงรายได้จากธุรกิจอสังหาฯ เพื่อขายที่อาจสะดุดในระยะยาวอีกต่อไป เนื่องจากบริษัทมีแผนจะเปิดโครงการอสังหาฯ เพื่อขายใหม่อีกหลายแห่งและสินค้าเพื่อขายสำหรับโครงการธุรกิจปันส่วนเวลาอย่างต่อเนื่องในปี 2561-2562 โดยในปี 2561 MINT จะเปิดตัวโครงการอสังหาฯเพื่อขาย Avadina Hills by Anantara (ร่วมทุน
50:50 กับ Kajima Corporation, โครงการบ้านหรู 16 หลัง มูลค่าโครงการ 6 พันล้านบาท) ซึ่งติดกับ Anantara Layan Phuket อีกทั้งมีการเพิ่มสินค้าคงเหลือเพื่อโครงการปันส่วนเวลาอีก 97 ห้อง ซึ่งเป็นการออกแบบใหม่ ที่จังหวัดภูเก็ต ซึ่งจะกำหนดเสร็จในปี 2561 (เพิ่มเติมจากเดิมมี 165 ยูนิต ณ สิ้นไตรมาส 1/60) สำหรับปี 2562 และในอนาคตนั้น MINT วางแผนการเปิดโครงการอสังหาฯเพื่อขายขนาดใหญ่อีกสองโครงการในประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย โดยจะร่วมทุนกับผู้ร่วมทุนในพื้นที่


เน้นการเติบโตระยะยาวและควบคุมความแข็งแกร่งของสถานะทางการเงิน

แม้มีแผนการขยายธุรกิจในอีกหลายปีข้างหน้า แต่ MINT จะสามารถรักษาสถานะทางการเงินและงบดุลให้มีความแข็งแกร่งได้ภายใต้นโยบายภายในที่ชัดเจน ได้แก่อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อต่อทุน ที่ไม่เกิน 1.3 เท่า ซึ่งต่ำกว่าเงื่อนไขของเจ้าหนี้ที่ 1.75 เท่าอยู่มาก โดยภายใต้แผนอนาคต 5 ปี ของบริษัท (ปี 2559-2564) MINT ตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 10% ต่อปี, และมุ่งเน้นขยายอัตรากำไรจากการดำเนินงานหรือ EBITDA margin ในธุรกิจโรงแรมให้ปรับตัวขึ้นมาใกล้เคียง 30% จากเดิม 25.7%, และในธุรกิจอาหารให้อยู่ที่ 18-19% จากเดิม 16.7% โดยบริษัทยังคงมีผนขยายจากโรงแรม 155 แห่ง ในไตรมาส 1/60 ไปเป็นอย่างน้อย 250 แห่งในปี 2564, จากร้านอาหาร 2,017 แห่งไปเป็น
มากกว่า 3,400 แห่ง, และสินเค้าคงเหลือในธุรกิจปันส่วนเวลา 165 ยูนิต ไปเป็น 450 ยูนิต โดยแผนการขยายกิจการทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์กระจายรายได้ตามภูมิศาสตร์ บริษัทคาดรายได้จากต่างประเทศจะคิดเป็น 52% ของรายได้ทั้งหมดในปี 2564 ซึ่งสูงขึ้นจาก 44% ในไตรมาส 1/60