ผู้บริโภคตลาดเกิดใหม่พร้อมใช้“เอไอ-หุ่นยนต์”บริการสุขภาพ

ผู้บริโภคตลาดเกิดใหม่พร้อมใช้“เอไอ-หุ่นยนต์”บริการสุขภาพ

PwC เผยเทคโนโลยี “เอไอ-หุ่นยนต์” พลิกโฉมธุรกิจบริการสุขภาพ พบประชากรกลุ่มตลาดเกิดใหม่พร้อมบริการทางการแพทย์มากกว่ากลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว

PwC (ไพร้ซวอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ส) หนึ่งในเครือข่ายบริษัทผู้ให้บริการด้านตรวจสอบบัญชี บริการให้คำปรึกษาด้านภาษี และบริการให้คำปรึกษาทางธุรกิจรายใหญ่ของโลก เปิดเผยรายงาน What doctor? Why AI and robotics will define New Health ที่ทำการศึกษาสำรวจประชากรมากกว่า 11,000 คน จาก 12 ประเทศทั่วยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา

พบว่าผู้ตอบแบบสอบถามมากกว่าครึ่ง (55%) มีความยินดีที่จะใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ขั้นสูงหรือหุ่นยนต์มาช่วยตอบคำถามด้านสุขภาพ ทำการวินิจฉัยโรค หรือแม้กระทั่งช่วยแนะนำการรักษา

ทั้งนี้ ผลจากสำรวจที่สำคัญ 3 ประการที่ PwC พบได้แก่

ผู้คนยินดีที่จะใช้งาน ปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ)และหุ่นยนต์มากขึ้น หากช่วยให้พวกเขาสามารถเข้าถึงบริการดูแลสุขภาพได้ดีกว่าเดิม

ความรวดเร็ว ถูกต้อง แม่นยำของการวินิจฉัยและการรักษาเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้พวกเขาเต็มใจที่จะใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเหล่านี้

ความไว้วางใจในเทคโนโลยียังเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เกิดการยอมรับและนำมาใช้งานอย่างกว้างขวาง ขณะที่ สัมผัสแห่งมนุษย์ (Human touch) ก็ยังคงเป็นองค์ประกอบสำคัญของประสบการณ์การดูแลสุขภาพ

ตลาดเกิดใหม่’ เปิดกว้างในการรับการรักษาด้วยเทคโนโลยี

รายงานของ PwC ระบุด้วยว่า ประชากรในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่มีความเปิดกว้างต่อการรับเทคโนโลยีเข้ามาดูแลสุขภาพมากกว่าประชากรในตลาดที่พัฒนาแล้วและมีระบบบริการสุขภาพที่มีความยืดหยุ่นน้อยกว่า (เช่น สหราชอาณาจักร และยุโรปตะวันตก/เหนือ)

โดยคนในกลุ่มประเทศเหล่านี้ยินดีที่จะได้รับการรักษาจากผู้ให้บริการสุขภาพที่ไม่ใช่คน (Non-human healthcare provider) มากกว่า โดยอาจสืบเนื่องจากระบบบริการสุขภาพของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ส่วนใหญ่ที่ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนา

นอกจากนี้จากการสำรวจกรณีการนำเทคโนโลยีขั้นสูงมาใช้ปฏิบัติการในห้องผ่าตัดพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามเกือบครึ่งและสูงสุดถึง 73% ยินดีที่จะให้หุ่นยนต์ดำเนินการในขั้นตอนการผ่าตัดเล็กๆ น้อยๆ แทนแพทย์ที่เป็นมนุษย์ โดยผู้ตอบแบบสอบถามในไนจีเรีย ตุรกี และแอฟริกาใต้ เป็นประเทศที่มีผู้ตอบแบบสอบถามเต็มใจรับการผ่าตัดเล็กโดยหุ่นยนต์มากที่สุด (73%, 66% และ 62% ตามลำดับ) เปรียบเทียบกับสหราชอาณาจักรที่มีผู้ตอบแบบสอบถามที่เต็มใจเพียง 36%

อย่างไรก็ดี ในกรณีการผ่าตัดใหญ่ (Major surgery) เช่น ผ่าตัดเข่าหรือสะโพก ผ่าตัดเนื้องอก หรือผ่าตัดหัวใจ ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ยังคงวางใจให้แพทย์ที่เป็นมนุษย์ทำการรักษา ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่น่าแปลกใจ แต่ถึงกระนั้น ก็ยังมีผู้ตอบแบบสอบถามในบางประเทศที่เต็มใจเข้ารับการผ่าตัดใหญ่โดยหุ่นยนต์ เช่น ไนจีเจียอยู่ที่ 69% เนเธอร์แลนด์ที่ 40% และสหราชอาณาจักรที่ 27%

PwC ยังได้ทำการศึกษาถึงปัจจัยที่ทำให้คนส่วนใหญ่ยอมรับ หรือไม่ยอมรับบริการในการรักษาจากเอไอและหุ่นยนต์ดูแลสุขภาพ พบว่า การเข้าถึงบริการดูแลสุขภาพที่ง่ายและรวดเร็วกว่า 36% และการวินิจฉัยที่รวดเร็ว ถูกต้องและแม่นยำ 33% เป็นแรงจูงใจหลักที่ทำให้พวกเขาสนใจใช้เทคโนโลยีเหล่านี้

ในทางตรงกันข้าม การขาดความไว้วางใจให้หุ่นยนต์ตัดสินใจ 47% และการขาดสัมผัสแห่งมนุษย์ 41% ก็เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้คนเกิดความลังเลเช่นกัน

รายงานชี้ว่า แม้ว่าเปอร์เซ็นต์ที่ได้จากแต่ละประเทศจะแตกต่างกัน แต่ข้อดีและข้อเสียอย่างละ 2 อันดับที่กล่าวมาข้างต้น เป็นสิ่งที่ถูกอ้างอิงถึงมากที่สุดในเกือบทุกประเทศที่ทำการสำรวจ ยกเว้นซาอุดีอาระเบีย และกาตาร์ที่ผู้ตอบแบบสอบถามมองว่า การขาดสัมผัสแห่งมนุษย์เป็นข้อเสียข้อใหญ่ที่สุดของการรักษาด้วยหุ่นยนต์ที่ทำให้พวกเขาไม่สนใจที่จะใช้เทคโนโลยีนี้

สำหรับประเทศไทยนั้น วิไลพร ทวีลาภพันทอง หุ้นส่วนสายงานธุรกิจที่ปรึกษา บริษัท PwC ประเทศไทย กล่าวว่าการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือหุ่นยนต์เข้ามาใช้ในธุรกิจบริการดูแลสุขภาพน่าจะช่วยได้มาก เพราะอัตราส่วนแพทย์ต่อประชากรของไทยยังอยู่ในระดับต่ำเปรียบเทียบกับหลายๆ ประเทศ แต่ลักษณะของการนำมาใช้คงเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป เพราะข้อจำกัดด้านเงินลงทุนที่ค่อนข้างสูง ประกอบกับระบบการจัดการฐานข้อมูลคนไข้ของไทยยังไม่ดีเพียงพอ รวมไปถึงการปรับเปลี่ยนทัศนคติของบุคลากรทางการแพทย์ด้วย โดยส่วนใหญ่โรงพยาบาลในประเทศจะมีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเฮลธ์มาช่วยมากกว่า

อย่างไรก็ดี ปัจจุบันเริ่มเห็นไทยศึกษาทดลองระบบเอไอและหุ่นยนต์บ้างแล้ว โดยโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่บางแห่งเริ่มมีการนำเทคโนโลยีนี้มาใช้ เช่น นวัตกรรมการตรวจหาความผิดปกติ หรือ ตรวจจับโรคระยะเริ่มต้น รวมไปถึงแอพพลิเคชั่นในการดูแลสุขภาพ เพื่อช่วยให้คนไข้สามารถจัดการดูแลสุขภาพตัวเองได้ในระดับเบื้องต้น แต่อาจยังไม่ถึงขั้นนำเอาระบบเอไอมาใช้ในการวิเคราะห์การรักษาและตัดสินใจแทนแพทย์ที่เป็นมนุษย์