แตะเส้นขอบคอมฟอร์ทโซนกับ Ducati Monster 797

แตะเส้นขอบคอมฟอร์ทโซนกับ Ducati Monster 797

จะไปขี่บิ๊กไบค์ทั้งที่ขี่มอเตอร์ไซค์ไม่เป็นเลยนะ?! ใครๆ ก็ปราม แต่ถ้าไม่ลองก็ไม่รู้

สาวๆ สมัยนี้หันมาขี่บิ๊กไบค์กัน (เกือบ) เป็นเรื่องธรรมดาแล้ว แต่เมื่อเราเป็นคนที่ขี่ได้แค่จักรยาน ขี่มอเตอร์ไซค์แบบสกูตเตอร์ที่ไม่มีเกียร์ไม่เป็นด้วยซ้ำ พอได้รับคำชวนมาลองขี่ Ducati Monster 797 ที่เพิ่งเปิดตัวไป ก็ถือว่าเป็นเรื่องนานทีจะมีหน เพราะส่วนใหญ่ทริปขี่มอเตอร์ไซค์มักจะเน้นผู้มีประสบการณ์ ขี่ขึ้นเหนือล่องใต้ไกลกันเป็นร้อยกิโลเมตร แต่ครั้งนี้เน้นชวนสื่อที่ยัง “ใหม่” ต่อการขับขี่บิ๊กไบค์ ต่อให้ไม่เป็นเลยก็ยังได้

ในงาน Ducati Press Test Asia มีผู้เข้าร่วมจากหลายประเทศในเอเชีย หลากประสบการณ์ บ้างไม่เคยแตะมอเตอร์ไซค์เลย บ้างก็ขี่มอเตอร์ไซค์แบบไม่มีเกียร์เป็นอยู่แล้ว บางคนเคยขี่บิ๊กไบค์มาก่อน แต่เรียนรู้ด้วยตัวเอง ผิดบ้างถูกบ้าง ก็มาปรับพื้นฐานกันใหม่โดยทีม Instructor จาก DRE - Ducati Riding Experience ของไทย ซึ่งมีหัวหน้าทีมเอเชียมาร่วมด้วย

Monster 797 เป็นมอนสเตอร์โฉมใหม่จากดูคาติ ที่ตั้งใจออกแบบมาเพื่อลดภาพดุดันเข้าถึงยากของดูคาติซีรี่ส์อื่น เพราะต่อให้ความดุดันอลังการจะถูกใจนักบิดสายแข็ง แต่สำหรับคนทั่วไป บิ๊กไบค์สายพันธุ์ดูคาติก็ยังมีภาพลักษณ์ที่ดูอันตรายไม่น้อย จึงเป็นรุ่นที่มีขนาดย่อมลงมาในความสูงที่ใครๆ ก็ขี่ได้ ผู้ชายตัวเล็ก ผู้หญิงตัวสูงมาตรฐานหญิงไทยทั่วไป ก็ตวัดเท้าก้าวขึ้นขี่ได้ไม่ยาก แต่ยังคงดีไซน์ที่สวยโฉบเฉี่ยวแนว Sporty Naked โดยเฉพาะเฟรมทรงกราฟิกอันเป็นเอกลักษณ์ของรุ่นมอนสเตอร์ และความแรงของเครื่องยนต์ 803 ซีซี ที่กระหึ่มไปได้ตลอดเส้นทาง นอกจากจะเหมาะสำหรับการขี่ท่องเที่ยวทางไกลแล้ว ขนาดของ Monster 797 ยังคล่องตัวสำหรับการขี่ในเมืองในชีวิตประจำวันด้วย

ต่อให้ทุกคนจะบอกว่า Monster 797 เป็นดูคาติรุ่นเล็กที่สุด เบาที่สุด ขี่ง่ายที่สุด แต่สำหรับคนที่แทบไม่มีประสบการณ์การขี่บิ๊กไบค์อย่างเรา แค่เคยลองขี่ในคลาสสั้นๆ ของ Royal Enfield (ที่ครั้งนั้นก็พูดไม่เต็มปากว่าขี่ได้ เพราะเวลาน้อยไปนิด) ก็เลยรู้สึกกังวลว่าจะขี่รถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่นี้ได้เหรอ ต่อเมื่อทีม Instructor ยืนยันว่าการขี่บิ๊กไบค์ไม่ยากอย่างที่คิด สิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดก็คือวางความกังวลทั้งหมดทิ้งไว้ แล้วเตรียมพร้อมลงสนามเลย

From Zero to Hero คือคอนเซ็ปต์ของทีม DRE ผู้ฝึกหัดการขับขี่มอเตอร์ไซค์ดูคาติ ที่มั่นใจว่าจะเปลี่ยนสายอ่อนให้เป็นสายแข็งได้ การเรียนการสอนนี้ใช้สถานที่ของสนามมอเตอร์สปอร์ต พาร์ค สุวรรณภูมิ ทีมผู้ฝึกสอนแบ่งกลุ่มกัน 2 คนต่อนักเรียน 3 คน ไม่เน้นการนั่งฟังทฤษฎี แต่เรียนรู้หลักด้วยการปฏิบัติและสัมผัสกับตัวรถเลย ผู้ฝึกสอนเริ่มตั้งแต่ให้ทำความคุ้นเคยกับตัวรถ หาจุดสมดุลของมอเตอร์ไซค์ ซึ่งถึงจะมีน้ำหนักเกือบ 200 กิโลกรัม ก็มีจุดที่ทรงตัวได้อยู่โดยไม่ต้องออกแรงจับมาก เราว่าจุดเริ่มต้นนี้สำคัญทีเดียว เพราะทำให้รู้สึกวางใจกับการทรงตัวของรถ และมั่นใจขึ้นอีกนิดว่าต่อให้แขนผอมๆ ก็จับมอเตอร์ไซค์อยู่ถ้ารู้หลัก

ต่อกันที่พื้นฐานขั้นสุด อย่างการขึ้นขี่มอเตอร์ไซค์แบบง่ายๆ ไม่ต้องวาดขาสูงให้ดูเก้งก้าง หรือเตะไฟท้ายตัวเอง หรือทำร้ายร่างกายคนข้างๆ เพียงแค่ยกเข่าขึ้นไปวางบนเบาะแล้วไล่เข่าข้ามเบาะไปอีกฝั่ง โยกตัวถ่ายน้ำหนักลงไปก็ขึ้นขี่มอเตอร์ไซค์ได้สวยๆ แล้ว ขั้นตอนต่อมาคือการสตาร์ทเครื่องยนต์ จับคลัทช์ เข้าเกียร์ ฟังเสียงเครื่องยนต์คำรามกระหึ่มพร้อมเคลื่อนตัวไปข้างหน้า

การเริ่มออกตัว ครูฝึกจะประคองจับให้ค่อยๆ ปล่อยคลัทช์ (ยังไม่เข้าเกียร์) เพื่อให้รู้กำลังของเครื่องยนต์ที่สามารถเคลื่อนตัวไปข้างหน้าได้ทันทีแค่ปล่อยคลัทช์ แต่ก็ช้าพอสำหรับมือใหม่ให้เรียนรู้อย่างค่อยเป็นค่อยไป รู้จักวิธีการเลี้ยวโค้ง การเบรกอย่างปลอดภัย ก่อนที่จะวางใจปล่อยให้ออกตัวเอง ขี่วนเป็นรอบๆ และเมื่อพร้อมก็เพิ่มความเร็วได้กับการเข้าเกียร์ต่อๆ ไป

การขี่มอเตอร์ไซค์เป็นเรื่องของร่างกายที่สัมพันธ์กับจิตใจอย่างมาก บางครั้งแม้ว่าอยากฝึกต่อเนื่อง แต่อาการที่ยังเกร็ง ยังตื่นอยู่ก็ทำให้ร่างล้าได้เหมือนกัน ครูฝึก 2 คนต่อนักเรียน 3 คน จึงเปิดโอกาสให้ 1 คนได้สลับพักและเฝ้าสังเกตการขี่และการสอนของเพื่อนนักเรียนคนอื่นๆ แต่ครูฝึกต้องลุยต่อเนื่องไม่หยุดกับนักเรียนที่กล้าๆ กลัวๆ บางคนไปได้ไว บางคนไปได้ช้า การสอนก็จึงเหมือนตัวต่อตัวเลย

เราค่อนข้างไปได้ช้ากว่าคนอื่น จึงทึ่งในความใจเย็นของผู้ฝึกสอน ที่สามารถสอนให้คนที่ไม่มีพื้นฐานสามารถขี่เครื่องยนต์กำลังแรงได้ภายในเวลาบ่าย 3 โมงครึ่งถึง 2 ทุ่ม การเรียนวันนั้นนักเรียนทุกคนขี่ไปได้ทุกด่าน ตั้งแต่การขี่วนเป็นวงระยะสั้น การขี่วนเป็นเลข 8 (8 Ring) เพื่อเรียนรู้การเลี้ยวโค้งทั้งซ้ายและขวา การขี่ Slalom ซึ่งซิกแซกไปกับกรวยที่ตั้งเอาไว้ เพื่อฝึกวงเลี้ยวแคบๆ และด่านสุดท้ายก็ลงไปขี่ยาวๆ ในสนาม ทั้งหมดนี้เป็นคลาสเบื้องต้น ยังมีการสอนระดับสูงขึ้นไปจนถึงระดับนักแข่งเลย แต่สำหรับเราการได้ขี่วนยาวๆ ในสนามก็ถือเป็นความสำเร็จก้าวเล็กๆ ในวันนั้นเลย และเอาเข้าจริง ก็ยังรู้สึกอยากขี่มากกว่านี้อีก

ประสบการณ์ขี่ดูคาติภายใน  1 วันนี้ทำให้เรารู้ว่าถ้ากลัวและเกร็ง ร่างกายก็จะดื้อมาก แต่เมื่อวางใจผ่อนคลายปล่อยร่างกายให้โอนอ่อนไปกับมอเตอร์ไซค์ ก็กลับควบคุมรถได้ง่ายขึ้น ทำตามคำแนะนำของผู้ฝึกสอนได้ดีขึ้น นักเรียนรั้งท้ายอย่างเราก็เลยรู้จักความสนุกของการขี่มอเตอร์ไซค์ได้ในที่สุด แม้จะเป็นระยะเวลาสั้นๆ แต่ก็ทำให้ใจอยากจะท้าทายตัวเองมากขึ้น เพราะรู้ว่านี่เป็นแค่เบื้องต้น เพียงยืดมือออกไปขยายขอบคอมฟอร์ทโซนให้ไกลขึ้นอีกนิด หากได้ก้าวข้ามเลยไปด้วยทักษะการขี่ที่ดียิ่งขึ้น จะพาความสนุกมาให้อีกได้มากขนาดไหน