Daily Market Outlook (16 พ.ค.60)

Daily Market Outlook (16 พ.ค.60)

ความไม่แน่นอนยังปกคลุม

คาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวในกรอบแคบวันนี้จากความกังวลต่อเรื่องการโจมตีระบบคอมพิวเตอร์ ถึงแม้ว่าตลาดหุ้นสหรัฐดูเหมือนจะไม่ใส่ใจกลับไปเล่นหุ้นบริษัทรักษาความปลอดภัยระบบคอมพิวเตอร์ โดยมองว่าจะได้ประโยชน์จากการโจมตีที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นหลังจากผู้ผลิตใหญ่จะขยายเวลาลดการผลิตออกไปถึง มี.ค. 2561 ซึ่งจะเป็นบวกต่อหุ้นพลังงาน ปัจจัยภายในประเทศวันนี้มีทั้งบวกและลบ ในขณะที่บริษัทจดทะเบียนก่อตั้งใหม่พุ่งขึ้นและความเชื่อมั่นนักลงทุนก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน แต่ยอดค่าโฆษณายังคงลดลงต่อเนื่อง และธนาคารขนาดใหญ่ลดดอกเบี้ยเพื่อช่วยลูกค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง SMEs

หุ้นเด่นวันนี้: AOT(ราคาปิด 41.50 บาท; ซื้อ; ราคาเป้าหมายของ AWS ที่ 46.00 บาท)

AOT ประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/60 (ม.ค.-มี.ค.60) ออกมามีกำไรสุทธิ 6,470 ล้านบาท (EPS 0.45 บาท) เพิ่มขึ้น 14%YoY และเพิ่มขึ้น 33%QoQ เป็นกำไรสุทธิที่ดีกว่าที่เราคาดการณ์ไว้ที่ 6,000 ล้านบาท โดยไตรมาสนี้ AOT มีกำไรรายไตรมาสสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ในขณะที่ EBIT margin และ Net profit margin ก็สูงสุดเป็นประวัติการณ์เช่นกันมาอยู่ที่ 58.7% และ 44.1% ตามลำดับ ส่วนเรื่องค่าเช่าที่ดินที่จะต้องจ่ายเพิ่มกับกรมธนารักษ์ที่เป็นเรื่อง Overhang ก็มีทางออกไปแล้ว แม้จะมีรายจ่ายเพิ่มขึ้น แต่ไม่มากเกินไปจนมีผลกระทบกับผลการดำเนินงาน โดยค่าเช่าที่สนามบินดอนเมืองนั้น AOT ได้จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายย้อนหลังไป 1,264 ล้านบาท ในช่วง 19 พ.ค.60 นี้ และมีการคิดค่าเช่ารายปีเพิ่มขึ้นอีกราว 200 ล้านบาท ต่อปี ส่วนที่สนามบินสุวรรณภูมิ ก็มีแนวโน้มจะได้ข้อสรุปที่ดีโดยจะต้องจ่ายค่าเช่าเพิ่มขึ้นปีละ 100 ล้านบาท จากเดิมที่จ่ายอยู่ 1,500 ล้านบาท เราประเมินผลกระทบเรื่องการจ่ายค่าเช่าเพิ่มสำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 3/60(เม.ย.-มิ.ย.60) กระทบกำไรเป็นลักษณะ One-time เท่านั้น จึงไม่มีนัยยะต่อผลการดำเนินงานมากนัก นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มว่า AOT อาจจะผลักภาระค่าเช่าที่เพิ่มขึ้นไปให้กับผู้เช่าและผู้ใช้สนามบินต่อไป AOT มีแผนขยายสนามบินสุวรรณภูมิและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในบริเวณสนามบินสุวรรณภูมิ รวมถึงพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาให้กลายเป็นท่าอากาศยานนานาชาติแห่งที่ 3 อีกด้วย เราคาดว่ากำไรสุทธิของ AOT จะเติบโต 12.6% ในปีงบประมาณ 2560 และ 12.7% สำหรับปีงบประมาณ 2561เราจึงแนะนำซื้อ AOT ให้ราคาเป้าหมายที่ 46.00 บาท จากวิธี DCF ปัจจุบันมี Upside อีกประมาณ 11% Price Pattern ของ AOT มีความแข็งแกร่งอย่างมากในแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) จากการเกิดทั้ง Daily, Weekly, &Monthly Buy Signal ซึ่งบ่งบอกการทำ New High โดยมีเป้าหมายแรกเพื่อทดสอบ High เดิมที่ 42 บาท และมีเป้าหมายถัดไปที่ 44 บาท ตามลำดับ ทั้งนี้ AOT มีจุด Stop Loss ระยะสั้นอยู่ที่ 40 บาท (Resistance: 41.50, 41.75, 42.00; Support: 41.00, 40.75, 40.50)

ปัจจัยสำคัญ

ประเด็นในประเทศ:

• ดัชนี MSCI Global Small Cap เพิ่มหุ้น 5 ตัวและไม่ลดหุ้นใดจาก SET ในดัชนี MSCI Thailandณ 15 พ.ค. หุ้นที่เพิ่มได้แก่ BCPG FORTH PTL และ THANI (MSCI Global Standard Index)

• GDP ไทยไตรมาส 1/60 โต 3.3% YoYเติบโตเร็วที่สุดใน 3 ไตรมาส หนุนโดยการส่งออกที่ฟื้นตัว ภาคการเกษตรที่ดีขึ้น และการบริโภคภาคเอกชนที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ สภาพัฒน์ได้ลดกรอบคาดการณ์ GDP ปี 60 ลงเป็น 3.3-3.8% จากก่อนหน้าที่ 3-4% (Bangkok Post) ความเห็น: GDP ไตรมาส 1/60 เป็นไปตามประมาณการของเราที่ 3.3% เรายังคงประมาณการการเติบเศรษฐกิจของปี 60 ไว้ที่ 3.5%

• ธนาคารใหญ่ทั้ง 4 แห่งปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ BBL KBANK KTB และ SCB ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ โดยเฉพาะ MRR ซึ่งปรับลงอยู่ที่ช่วง 25-50bps โดยธนาคารตั้งเป้าเพื่อที่จะช่วยลดภาระทางการเงินของลูกค้า โดยเฉพาะลูกค้า SME และรายย่อย (Bangkok Post)ความเห็น: การปรับลดดังกล่าวคล้ายกับการปรับลดเมื่อเดือน เม.ย. ปีที่แล้ว เราคาดว่าไม่น่าจะมีผลกระทบมากนักเนื่องจากธนาคารน่าจะพยายามบริหารทางฝั่งต้นทุนทางการเงิน ขณะที่ความต้องการสินเชื่อที่ดีขึ้น หนุนโดยเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวในวงกว้างและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่จะเป็นอีกปัจจัยหนุนหลักเช่นกัน เราคงคำแนะนำ ซื้อ สำหรับทั้ง 4 ธนาคารใหญ่ และราคาเป้าหมายของ BBL ที่ 213 บาท KBANK ที่ 217 บาท KTB ที่ 22 บาท และ SCB ที่ 185 บาท

• จดทะเบียนธุรกิจใหม่พุ่ง 20% YoYใน เม.ย. สู่ 4,783 รายด้วยจำนวนเงินทุนรวม 2.18 หมื่น ลบ. เพิ่มขึ้น 75% YoYแม้จะเป็นเดือนที่มีวันหยุดยาวก็ตาม ที่เพิ่มมาชัดคือบริษัทโฮลดิ้งที่ตั้งขึ้นเพื่อบริหารธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (Bangkok Post)

• ใช้จ่ายโฆษณาทุกสื่อลดลงเฉลี่ย 5.8% YoYสู่ 3.47 หมื่น ลบ. ในช่วงสี่เดือนแรกของปี 60 เพราะผู้ใช้จ่ายโฆษณาหลักคุมงบเพื่อลดความเสี่ยงในช่วงหลังของปี โฆษณาผ่านอินเทอร์เน็ตกลับลดลง 11.7% สู่ 484 ลบ. ขณะที่โฆษณาโรงภาพยนตร์เพิ่มขึ้น 27.8% YoYและสื่อกลางแจ้งเพิ่มขึ้น 22.8% YoY (Bangkok Post)

• ความเชื่อมั่นนักลงทุนโต 11.7% สู่ 100.89 จุด ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนหุ้นสำหรับสามเดือนถึง ก.ค. ดีขึ้นจากผลสำรวจเดือนที่แล้ว หนุนโดยเศรษฐกิจในประเทศ แต่ยังคงมีความไม่แน่นอนจากปัจจัยต่างประเทศและเงินทุนไหลเข้าออกผันผวนทำให้ความเชื่อมั่นยังเป็นกลาง สภาธุรกิจตลาดทุนไทยระบุ (Bangkok Post)

• CK (ราคาปิด 26.75 บาท) รายงานกำไรสุทธิและกำไรปกติงวด 1Q60 เท่ากับ 302 ล้านบาท โดยกำไรสุทธิ ลดลง 1% YoYและลดลง 12% QoQขณะที่กำไรปกติในไตรมาส 1/60 เพิ่มขึ้น 20% YoYและ 142% QoQรายได้รวมเท่ากับ 8 พันล้านบาทลดลง 10% YoYแต่เพิ่มขึ้น 7% QoQกำไรขั้นต้น (Gross profit margin) ในไตรมาส 1/60 ต่ำเพียง 7.7% แต่ยังดีกว่าไตรมาสก่อนที่ 6.3% แต่ต่ำกว่า 1Q59 ที่ 8.9% อัตรากำไรปกติ (Normalized profit margin) ไตรมาส 1/60 ปรับตัวขึ้นเป็น 3.7% เทียบกับ 1.7% ในไตรมาส 4/59 และ 2.8% ในไตรมาส 1/59 (SET)ความเห็น: เรายังคงมุมมองที่เป็นกลางต่อผลการดำเนินงานของ CK ในไตรมาส 1/60 และคงคำแนะนำซื้อโดยมีราคาเป้าหมาย 34 บาทโดยคำนวณจากวิธี sum-of-the-parts

• STEC (ราคาปิด 24.6 บาท) รายงานกำไรสุทธิและกำไรปกติในไตรมาส 1/60 ที่ 249 ล้านบาท โดยกำไรสุทธิลดลง 7% YoYและลดลง 63% QoQขณะที่กำไรปกติในไตรมาส 1/60 ลดลง 7% YoYแต่เพิ่มขึ้น 217% QoQรายได้รวมเท่ากับ 5 พันล้านบาทเพิ่มขึ้น 12% YoYและเพิ่มขึ้น 4% QoQอัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 1/60 เท่ากับ 8.3% ซึ่งต่ำกว่าในไตรมาส 1/59 ที่ 9.1% และ 9.4% ในไตรมาส 4/59 อัตรากำไรปกติอยู่ที่ 5.0% เทียบกับ 6.0% ในไตรมาส 1/59 และ 1.6% ในไตรมาส 4/59 (SET) ความเห็น: เรายังคงมีมุมมองเป็นลบต่อผลการดำเนินงานของ STEC เนื่องจากไตรมาสแรกน่าจะเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของ STEC และเรามีความกังวลเกี่ยวกับการลงทุนร่วมทุนระหว่าง BSR-BTS-STEC-RATCH กับการดำเนินงานรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT สีเหลืองและสีชมพู เราคาดว่า บริษัทร่วมทุนจะมีต้นทุนการดำเนินงานที่สูงสำหรับระยะยาว เรายังคงคำแนะนำถือ ราคาเป้าหมาย 28 บาทอิง EV 15 เท่า EV/EBITDA

ต่างประเทศ:

• อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐปรับตัวขึ้นเมื่อวันจันทร์ เนื่องจากนักลงทุนประเมินว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยกี่ครั้งในปีนี้ เนื่องจากไม่มีข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญที่มีกำหนดเผยแพร่ในสัปดาห์นี้ที่จะเปลี่ยนความเห็นของนักลงทุน อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 2.34% จาก 2.33% เมื่อวันศุกร์ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวลงสู่ระดับ 2.32% เมื่อคืนวาน ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับแต่วันที่ 3 พ.ค. จากการเข้าซื้อของนักลงทุนหลังจากเกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธซึ่งลงสู่ทะเลใกล้รัสเซียเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (Reuters)

• ดอลลาร์สหรัฐซื้อขายอยู่ใกล้ระดับต่ำสุดในรอบ 1 สัปดาห์เทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในวันอังคารโดยได้รับแรงกดดันจากรายงานภาคการผลิตสหรัฐที่อ่อนตัวลงอย่างน่าแปลกใจ ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ล่าสุดเทรดอยู่ที่ 98.855 โดยเมื่อวันจันทร์ ดัชนีแตะระดับต่ำสุดที่ 98.787 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับแต่วันที่ 8 พ.ค. เงินยูโรขยับขึ้น 0.1% เทียบกับดอลลาร์สหรัฐ อยู่ที่ 1.0984 ดอลลาร์สหรัฐ หลังจากที่ปรับตัวขึ้น 0.4% เมื่อวันจันทร์ ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า 0.1% เทียบกับเงินเยนใกล้ระดับ 113.71 เยน หลังจากที่แข็งค่า 0.4% เมื่อวันจันทร์ (Reuters)

สหรัฐ:

• ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐปิดบวกมื่อวันจันทร์ โดยดัชนี S&P500 และแนสแดคปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ นำโดยหุ้นของบริษัทด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์เนื่องจากคาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการใช้จ่ายมากขึ้นหลังเกิดเหตุโจมตีทางไซเบอร์ทั่วโลกเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ในขณะที่ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นก็เป็นตัวขับเคลื่อนหุ้นกลุ่มพลังงาน (Reuters)

• ผลสำรวจภาคการผลิตของเฟดสาขานิวยอร์กออกมาเป็นลบเป็นครั้งแรกนับแต่เดือนต.ค. ดัชนีภาคการผลิตปรับตัวลงสู่ระดับ -1.0 ในเดือนเม.ย. เทียบกับที่เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 5.2 ในเดือนมี.ค. (Reuters)

• ความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านในสหรัฐเพิ่มขึ้นเกินคาดในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นอันดับ 2 นับตั้งแต่เกิดภาวะอสังหาฯ ตกต่ำเมื่อเกือบ 10 ปีก่อน เนื่องจากปริมาณบ้านที่มีอยู่ในปัจจุบันยังคงตึงตัว สมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB) ของสหรัฐและ Wells Fargo รายงานว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านสำหรับบ้านสร้างใหม่ บ้านสำหรับครอบครัวเดี่ยวเพิ่มขึ้นถึง 70 จุด จาก 68 จุดในเดือนเม.ย. โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่าตัวเลขจะไม่เปลี่ยนแปลง ในเดือนมี.ค. ดัชนีฯ แตะถึงระดับ 71 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับแต่เดือนมิ.ย. ค.ศ. 2005 ซึ่งเป็นช่วงที่อสังหาฯ บูมที่สุด (Reuters)

• เทรดเดอร์ในตลาดฟิวเจอร์สคาดว่ามีโอกาส 69% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมิ.ย.ลดลงจาก 70% เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว และจาก 83% ในสัปดาห์ก่อน จากข้อมูลของ CME Group’s FedWatch พวกเขามองว่ามีโอกาสเพียง 45% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้งหรือมากกว่านั้นก่อนการประชุมเฟดในเดือนธ.ค. แม้ว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเฟดจะออกมาย้ำว่าพวกเขามองว่ามีความเป็นไปได้ที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้ก็ตาม (Reuters)

ยุโรป:

• หุ้นยุโรปปรับขึ้นเมื่อวันจันทร์ หนุนโดยการดีดตัวกลับของราคาน้ำมันและข้อตกลงการซื้อขายระหว่างวัน ในระหว่างที่ การจู่โจมทางไซเบอร์ช่วยหนุนหุ้นบริษัทซอฟท์แวร์เช่นกัน (Reuters)

• กำไรบริษัทยุโรปแข็งแกร่งกว่าที่คาด จากข้อมูล Thomson Reuters I/B/E/S มากกว่า 70% ของบริษัท MSCI ได้รายงานผลการดำเนินงานไปแล้ว โดย 66% ของบริษัททั้งหมดแสดงกำไรที่ดีกว่าคาด 8% เป็นไปตามคาด กำไรไตรมาส 1/60 โดยรวมเติบโต 20.2% (Reuters)

เอเชีย:

• ธนาคารชั้นนำของประเทศญี่ปุ่นมีมุมมองที่ระมัดระวังต่อปริมาณที่เพิ่มขึ้นของเงินฝากที่มีอัตราดอกเบี้ยติดลบ (Reuters)

• ปธน.จีน กล่าวว่า โครงการ Silk Road ของจีน จะให้เกิดการค้าและความมั่งคั่ง (Reuters)

• การเติบโตของผลผลิตของจีนในเดือน เม.ย.เพิ่มขึ้น 6.5% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ขณะที่การลงทุนในสินทรัพย์ถาวรในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้เติบโต 8.9% ซึ่งผลลัพธ์ทั้งสองด้านแย่กว่าที่คาดการณ์ไว้ นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่ายอดการผลิตของโรงงานในเดือนเมษายนจะขยายตัว 7.1% การลงทุนในสินทรัพย์ถาวรได้รับการคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 9.1% (Reuters)

• ยอดขายปลีกเพิ่มขึ้น 10.7% ในเดือน เม.ย. นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 10.6% เป็นยอดที่ลดลงจากการขยายตัว 10.9% ในช่วงก่อนหน้า การลงทุนภาคเอกชนเติบโต 6.9% ในช่วงเดือนมกราคมถึงเมษายน จาก 7.7% ในไตรมาส 1/60(Reuters)

• การเติบโตทางเศรษฐกิจใน 1Q60 ของจีนเติบโตถึง 6.9% นับตั้งแต่ปี 2558โดยได้แรงหนุนจากการใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคของรัฐบาลที่สูงขึ้นและการแข็งค่าของเงินหยวน จีนได้ปรับลดเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจลงสู่ระดับ 6.5% ในปีนี้เพื่อลดความเสี่ยงทางการเงินหลังการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีมาหลายปี (Reuters)

สินค้าโภคภัณฑ์:

• ราคาน้ำมันพุ่ง 2% สู่จุดสูงสุดรอบกว่า 3 สัปดาห์วันจันทร์ ไปถึง 52 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จากความร่วมมือระหว่างซาอุฯ และรัสเซียที่ระบุว่าการลดกำลังการผลิตจะต่อเวลาไปถึง มี.ค. 61 ยาวกว่าที่ตกลงกันไว้ตอนแรก น้ำมันดิบ Brent ล่วงหน้าบวก 98 เซนต์ (1.9%) ปิด 52.63 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล สูงสุดนับแต่ 21 เม.ย. น้ำมันดิบสหรัฐล่วงหน้าบวก 1.01 ดอลลาร์ (+2.1%) ปิด 48.85 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล (Reuters)

• ทองคำบวกเพราะปัญหาการเมืองสหรัฐ การทดลองขีปนาวุธเกาหลีเหนือและไวรัสโจมตีทั่วโลกทำให้คนหันมาถือสินทรัพย์ปลอดภัยไว้ก่อน ขณะที่ตัวเลขสหรัฐที่ออกมาอ่อนแอกว่าคาดผลักดันให้ดอลลาร์อ่อนค่า ทำให้ราคาทองคำถูกลงสำหรับผู้ถือสกุลเงินอื่น ทองคำตลาดจรบวก 0.2% ปิด 1,230.15 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ทองคำสหรัฐล่วงหน้าปิดบวก 0.2% ที่ 1,230 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ (Reuters)