'กรุ๊ปลีส' กำไรนิวไฮต่อเนื่อง

'กรุ๊ปลีส' กำไรนิวไฮต่อเนื่อง

"กรุ๊ปลีส" เผยกำไรไตรมาสแรกปีนี้ทำ "นิวไฮ" ต่อเนื่อง พร้อมคาดกำไรพุ่งต่ไตรมาส2 ระบุผู้สอบบัญชียันไม่ต้องตั้งสำรองเผื่อหนี้สูญ กลุ่มรายใหญ่ในสิงค์โปรและไซปรัส รวมถึงไม่จำเป็นต้องตั้งสำรองการด้อยค่าของเงินลงทุนในศรีลังกา

นายทัตซึยะ โคโนชิตะ ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) GL ผู้นำธุรกิจดิจิทัลไฟแนนซ์ในภูมิภาคเอเชีย เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2560 มีกำไร 327.36 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 47.35% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า สะท้อนถึงผลประกอบการที่ปรับตัวดีขึ้นชัดเจนในประเทศไทยและตลาดอื่นๆ ในภูมิภาคที่บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจอยู่ ซึ่งงบการเงินได้ผ่านความเห็นชอบจากผู้สอบบัญชีบริษัท สำนักงาน อีวาย จำกัด (EY) โดยไม่ต้องตั้งสำรองเผื่อหนี้สูญสำหรับกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ในสิงคโปร์และไซปรัส และไม่จำเป็นต้องตั้งสำรองสำหรับการด้อยค่าของเงินลงทุนในศรีลังกา

สำหรับกำไรสุทธิในไตรมาส 1 นับเป็นสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 10 โดยเพิ่มขึ้นจากกำไรสุทธิ 324.40 ล้านบาท ในไตรมาส 4 ปี 2559

ขณะเดียวกัน คณะกรรมการของบริษัทย่อยคือ GL Holdings (GLH) ในประเทศสิงคโปร์ มีมติเมื่อวันที่ 9 พ.ค. 2560 ให้จ่ายเงินปันผล 9.99 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 346 ล้านบาท ให้กับผู้ถือหุ้นคือบริษัทแม่ GL ภายในวันที่ 17 พ.ค. ซึ่งคาดว่าเงินปันผลพิเศษดังกล่าวจะส่งผลให้ผลประกอบการในไตรมาส 2/60 พุ่งขึ้นต่อเนื่อง


นายทัตซึยะ กล่าวว่า งบไตรมาส 1 ได้ผ่านการสอบทานจากผู้สอบบัญชีอย่างไม่มีเงื่อนไข (Clean Audit) โดยเฉพาะในประเด็นที่ไม่มีความจำเป็นต้องตั้งสำรองเผื่อการด้อยค่าของเงินลงทุนในบริษัท Commercial Credit and Finance PLC (CCF) สอดคล้องกับสิ่งที่ฝ่ายบริหารได้ชี้แจงกับผู้ถือหุ้นในการประชุมสามัญประจำปีเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งประเด็นดังกล่าวสืบเนื่องจากที่ GL ได้เข้าถือหุ้น 29.99% ใน CCF ตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา โดยราคาหุ้นของ CCF ในตลาดหลักทรัพย์โคลัมโบได้ปรับลดลง ซึ่งทำให้เกิดความกังวลในผู้ถือหุ้นบางกลุ่มว่าบริษัทฯ อาจต้องตั้งสำรองเผื่อการด้อยค่า โดยล่าสุด นายทัตซึยะกล่าวยืนยันว่าไม่มีความจำเป็นต้องตั้งสำรองเพื่อการดังกล่าวในขณะนี้ เนื่องจาก CCF มีผลประกอบการที่ดีและ GL ถือว่าเงินลงทุนใน CCF เป็นการลงทุนระยะยาว

ทั้งนี้ GL ได้บันทึกส่วนแบ่งกำไรจาก CCF มูลค่าประมาณ 55.5 ล้านบาทในงบไตรมาส 1 โดยตัวเลขดังกล่าวนับเป็นประมาณ 20% ของกำไรทั้งหมดในไตรมาสแรกปีนี้ โดยกำไรส่วนที่เหลืออีกประมาณ 80% ส่วนใหญ่มาจากผลประกอบการในประเทศไทยและกัมพูชา ในขณะที่ผลกำไรจากธุรกิจในอีก 3 ประเทศ คือ สปป.ลาว อินโดนีเซียและเมียนมายังเป็นส่วนน้อย เนื่องจากเพิ่งเริ่มดำเนินธุรกิจมาไม่นาน