Daily Market Outlook (15 พ.ค.60)

Daily Market Outlook (15 พ.ค.60)

การจู่โจมทางไซเบอร์กับการยิงขีปนาวุธของเกาหลีเหนือฉุดอารมณ์ตลาด

คาดหุ้นไทยปรับตัวลงวันนี้เนื่องจากความกังวลทั่วโลกในการระบาดของไวรัสคอมพิวเตอร์ Ransomwareที่จู่โจมทั้งระบบสาธารณสุขของอังกฤษ FedEx และคอมพิวเตอร์มากกว่า 150 ประเทศทั่วโลก รวมถึงความกังวลในเรื่องการยิงขีปนาวุธของเกาหลีเหนือเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ในระหว่างที่ ประเด็น FBI ยังคงกระทบตลาด Wall Street อยู่เนื่องจากอาจส่งผลกับการออกกฎหมายของ Trump ปัจจัยภายในประเทศ สภาพัฒน์จะมีการประกาศตัวเลข GDP ไตรมาส 1/60 เช้าวันนี้ โดยตลาดคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 1.2% QoQและ 3.2% YoYการปรับขึ้นของเงินสนับสนุนประกันสังคมคาดจะช่วยหนุนโรงพยาบาลที่อยู่ในเครือข่าย

หุ้นเด่นวันนี้: SCCC(Bt284; NR; 17TP Bloomberg Bt293)

ปูนซีเมนต์นครหลวง จะได้ประโยชน์อย่างมากจากการลงทุน โครงสร้างพื้นฐาน หลายโครงการในภูมิภาคเอเชีย และในประเทศไทยนับจากนี้ไปอีกหลายปี หุ้น SCCC ขณะนี้ซื้อขายที่อัตราส่วน PE ปี 2560 ที่เพียง 15.4 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังที่ 20 เท่า และค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ 24.4 เท่า นอกจากนั้น SCCC เป็นที่ทราบกันว่าจ่ายเงินปันผลดีในระยะเวลาที่ผ่านมา ก็คาดว่าน่าจะสามารถจ่ายปันผลได้ไม่ต่ำกว่าอัตรา 5% ต่อปีในปีนี้และปีหน้า แม้บริษัทจะรายงานกำไรสุทธิไม่ค่อยดีนักในไตรมาสที่ 1/60 ที่ 550 ล้านบาท (-60% YoYและ -37% QoQ) แต่ยอดขายกลับเติบโตก้าวกระโดด 29% YoYและถ้าหักรายการพิเศษด้านค่าใช้จ่ายครั้งเดียวออกไป 400 ล้านบาท ก็ถือว่ากำไรสุทธิก็ไม่เลวนักที่ 950ล้านบาท (-30%YoY)ประเด็นสำคัญคือ โรงงานปูนซีเมนต์ที่เพิ่งไปซื้อกิจการมาในบังกลาเทศ ศรีลังกาและเวียดนาม มียอดขายรวมกันถึงกว่า 3 พันล้านบาท และกำไรสุทธิ 310 ล้านบาท โดยอุปสงค์ใน 3 ประเทศนี้เติบโต 6-8% ในไตรมาส 1/60 ขณะที่บ้านเราติดลบ 4% อย่างไรก็ตาม เรามองว่าอุปสงค์ซีเมนต์ในประเทศจะเร่งตัวแรงในครึ่งหลังของปีนี้เป็นต้นไปจากโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐภายในประเทศกว่า 1 ล้านล้านบาทที่กำลังเริ่มต้นแล้ว ธนาคารพัฒนาแห่งเอเชีย (ADB) เพิ่งปรับประมาณการการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในเอเชียไม่รวมญี่ปุ่นขึ้นเป็นปีละ 1.7 ล้านล้านดอลลาร์จากปีนี้ไปจนถึง 2573 เพิ่มขึ้นราวเท่าตัวจาก 12 เดือนที่ผ่านมารวม 8.81 แสนล้านดอลลาร์ ผลสำรวจของบลูมเบิร์กออกมาว่านักวิเคราะห์คาดกำไรของ SCCC จะโต 7.8% ปีนี้ แล้วเร่งตัวขึ้นเป็นโต 16.9% ปีหน้าแม้ราคาเป้าหมายของบลูมเบิร์กจะห่างจากราคาปิดเมื่อวันศุกร์เพียง 3% แต่เรามองว่านับจากนี้นักวิเคราะห์จะต้องปรับประมาณการและเป้าหมายขึ้นโดยลำดับ Price Pattern ของ SCCC มีความแข็งแกร่งอย่างมากในแนวโน้มหลักที่อยู่ในแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) จากการเกิดทั้ง Daily, Weekly, & Monthly Buy Signal เมื่อพิจารณา Price Pattern ของ SCCC มีเป้าหมายแรกอยู่ที่ 310 บาท และมีเป้าหมายเบื้องต้นอยู่ที่ 343 บาท ตามลำดับ ทั้งนี้ SCCC มีจุด Stop Loss ระยะสั้นอยู่ที่ 280 บาท (Resistance: 287.00, 291.00, 297.00; Support: 282.00, 278.00, 272.00)

ปัจจัยสำคัญ

ประเด็นในประเทศ:

• รัฐมนตรีจะมีการลงนามสัญญาที่ประชุม Belt and Road Forum คณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงอุตสาหกรรมเซ็นร่างการค้าและความร่วมมือที่งาน Belt and Road Forum for International Cooperation ที่กรุงปักกิ่ง โดยรัฐบาลไทยคาดนโยบาย One Belt One Road ไม่เพียงแต่ช่วยหนุนเศรษฐกิจจีนเท่านั้น แต่ยังช่วยหนุนเศรษฐกิจของประเทศที่เข้าร่วมด้วย (The Nation)

• ใกล้ได้ข้อสรุปการเพิ่มอัตราประกันสังคม สำนักงานประกันสังคมใกล้ได้ข้อสรุปในการยื่นข้อเสนอเพิ่มอัตราการจ่ายเงินให้สำหรับบริการทางการแพทย์ที่ให้แก่โรงพยาบาลในสัญญาในวันพุธนี้ ซึ่งเป็นไปตามต้นทุนที่สูงขึ้นเพราะประกันสังคมไม่ได้เพิ่มงบต่อผู้ป่วย ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 1,460 บาทต่อรายมากว่า 6 ปีแล้ว (Bangkok Post)ความเห็น: น่าจะเป็นประโยชน์แก่ BCH (13 บาท, ซื้อ, ราคาเป้าหมาย 16 บาท) มากสุดเพราะมีจำนวนผู้ขึ้นทะเบียนภายใต้ประกันสังคมจำนวนมากราว 768,000 ณ สิ้นปี 59 อย่างไรก็ดีเราคิดว่าตลาดรับรู้ข่าวนี้ไปแล้ว

• งบ 1.9 หมื่น ลบ.พัฒนาโลจิสติกส์รับ EECทางหลวงเตรียมพัฒนาระบบโลจิสติกส์ ลดต้นทุนการขนส่ง อำนวยความสะดวกการเดินทาง ตั้งเป้า 13 โครงการในปี 61 วงเงิน 1.9 หมื่นล้าน คาดว่า ต.ค.นี้ลงนามได้ (ไทยโพสต์)

• GL (ราคาปิด 22.30 บาท; ขาย; ราคาเป้าหมายปี 60 ของ AWS ที่ 16.00 บาท)รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 1/60 ที่ 328 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.0% QoQและ 47.7% YoYการเติบโตหนุนโดยรายได้จากดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นจากสินเชื่อเช่าซื้อ สินเชื่อที่มีสินทรัพย์ค้ำประกัน และสินเชื่ออื่นๆ (SET) ความเห็น: ผลการดำเนินงานดังกล่าวเป็นไปตามประมาณการของเราแต่สูงกว่าประมาณการเฉลี่ยบลูมเบิร์ก 6% โดยกำไรไตรมาส 1/60 คิดเป็น 26% ของกำไรเต็มปีของเรา ทำให้เราคาดว่าจะยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 60 ไว้ที่ 1.3 พันล้านบาท

ต่างประเทศ:

• เกิดเหตุโจมตีระบบคอมพิวเตอร์ทั่วโลกในกว่า 150 ประเทศเหตุโจมตีระบบคอมพิวเตอร์ทั่วโลกโดยการแฮ็คข้อมูลนั้นเป็นที่เชื่อว่าถูกพัฒนาโดยสำนักงานความมั่นคงของสหรัฐได้โจมตีข้อมูลของ FedEx, ระบบประกันสุขภาพของอังกฤษ และคอมพิวเตอร์จำนวนมากในประเทศอื่น ๆ เมื่อวันศุกร์ ทำเนียบขาวได้ประเมินว่าการโจมตีทางคอมพิวเตอร์ดังกล่าวพบในคอมพิวเตอร์มากกว่า 200,000 เครื่องในประเทศต่าง ๆ อย่างน้อย 150 ประเทศ (Reuters)

• เกาหลีเหนือเผยว่าประสบความสำเร็จในการยิงขีปนาวุธพิสัยกลางถึงไกลรุ่นใหม่เมื่อวันอาทิตย์ โดยนายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือได้เดินทางมาสังเกตการณ์ยิงขีปนาวุธครั้งนี้ด้วยตนเอง ซึ่งเป็นขีปนาวุธติดหัวรบนิวเคลียร์ขนาดใหญ่ เกาหลีเหนือได้ยิงขีปนาวุธซึ่งตกลงในทะเลใกล้รัสเซียเมื่อวันอาทิตย์ หลังจากที่ประธานาธิบดีเกาหลีใต้คนใหม่ได้ให้คำมั่นที่จะเจรจากับเกาหลีเหนือ (Reuters)

• ดอลลาร์สหรัฐเริ่มต้นสัปดาห์อยู่ในการตั้งรับในวันจันทร์ หลังการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐอ่อนแอกว่าที่คาดเมื่อวันศุกร์และเกาหลีเหนือทดลองยิงขีปนาวุธอีกครั้งหนึ่งในช่วงสุดสัปดาห์ทำให้นักลงทุนหันไปลงทุนในเงินเยนซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ปรับตัวลงเล็กน้อยอยู่ที่ 99.226 ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า 0.1% เทียบกับเงินเยนที่ระดับ 113.28 เยน (Reuters)

• อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐปรับตัวลงเมื่อวันศุกร์ เนื่องจากดัชนี CPI และยอดค้าปลีกต่ำกว่าที่คาด อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอ้างอิงอายุ 10 ปี ปรับตัวลงกว่า 7 bps สู่ระดับ 2.326% เมื่อวันพฤหัส อัตราผลตอบแทนพันธบัตรดังกล่าวแตะระดับ 2.423% ใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 6 สัปดาห์ ตอบสนองต่อดัชนีผู้ผลิตสหรัฐ (PPI) ที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างน่าแปลกใจในเดือนเม.ย. อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 30 ปีลดลง 4 bps อยู่ที่ระดับ 2.995% โดยไต่ถึงระดับ 3.059% เมื่อวันพฤหัส ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับแต่วันที่ 21 มี.ค. (Reuters)

สหรัฐ:

• ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐปิดลบเมื่อวันศุกร์ เนื่องจากยอดค้าปลีกที่อ่อนแอและข้อมูลเงินเฟ้อรายกดดันหุ้นกลุ่มธนาคารและหุ้นห้างสรรพสินค้า และทำให้นักลงทุนกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว แนวโน้มหลีกเลี่ยงการลงทุนที่มีความเสี่ยงเกิดขึ้นกับตลาดวอลล์สตรีทหลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ปลดผู้อำนวยการ FBI อย่างกระทันหัน โดยผลกระทบที่เกิดขึ้นอาจทำเป้าหมายของทรัมป์ที่เน้นการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจโดยการปรับลดภาษีและกระตุ้นการใช้จ่ายเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานชะลอตัวออกไป (Reuters)

• ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ปรับตัวขึ้นน้อยกว่าที่คาดดัชนี CPI สหรัฐปรับตัวขึ้น 0.2% MoMในเดือนเม.ย. น้อยกว่าที่ตลาดคาดการณ์ แต่ปรับตัวขึ้นจากที่ลดลง 0.3% MoMในเดือนมี.ค. การที่ดัชนีฯ เพิ่มขึ้นในเดือนเม.ย. ทำดัชนีฯ เพิ่มขึ้น 2.2% YoYน้อยกว่าที่เพิ่มขึ้น 2.4% YoYในเดือนมี.ค. อย่างไรก็ตาม ดัชนีฯ ยังคงปรับตัวขึ้นสูงกว่าการเพิ่มขึ้นเฉลี่ยรายปีที่ 1.7% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ดัชนี CPI พื้นฐาน เพิ่มขึ้น 1.9% YoYปรับตัวขึ้นน้อยที่สุดนับแต่เดือนต.ค. 58 หลังจากที่เพิ่มขึ้น 2.0% ในเดือนมี.ค. แต่การเพิ่มขึ้นในเดือนเม.ย. ยังสูงกว่าการเพิ่มขึ้นเฉลี่ยรายปีในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาที่ระดับ 1.8% (Reuters)

• ยอดค้าปลีกเดือนเม.ย. อ่อนแอ ยอดค้าปลีกสหรัฐเพิ่มขึ้น 0.4% MoMในเดือนเม.ย. หลังจากที่เพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนมี.ค. ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 4.5% YoYในเดือนเม.ย. ก่อนหน้านี้นักวิเคราะห์ประมาณการว่ายอดค้าปลีกรวมจะเพิ่มขึ้น 0.6% MoMในเดือนก่อน หากไม่รวมรถยนต์ น้ำมัน วัสดุก่อสร้างและภัตตาคาร ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 0.2% หลังจากที่เพิ่มขึ้น 0.7% ในเดือนมี.ค. (Reuters)

• ตลาดคาดว่ามีโอกาสกว่า 70% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมนโยบายวันที่ 13-14 มิ.ย.จากข้อมูลของ CME Group’s FedWatch แต่ความเป็นไปได้ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้งก่อนสิ้นปีนี้ลดลงอยู่ที่ 40% หลังการเผยแพร่ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐเมื่อวันศุกร์ (Reuters)

• เฟดสาขาแอตแลนตาประมาณการ GDP สหรัฐจะขยายตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 3.6% ในไตรมาส 2/60 เศรษฐกิจสหรัฐเติบโตอยู่ที่ระดับ 0.7% ต่อปีในไตรมาส 1/60 โดยถูกฉุดรั้งจากการใช้จ่ายผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นน้อยที่สุดในรอบกว่า 7 ปี (Reuters)

ยุโรป:

• หุ้นยุโรปปรับตัวขึ้นเมื่อวันศุกร์ หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มผู้ผลิตยาและกิจกรรมซื้อขายในช่วงระหว่างวัน ระหว่างที่หุ้น Richemontปรับตัวลงเนื่องจากกำไรที่ออกมาน่าผิดหวัง (Reuters)

• ตลาดยุโรปจะมีการประกาศตัวเลขหลายๆ ตัวสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึง Eurozone 1Q17 flash GDP และ German ZEW ที่จะมีการประกาศวันอังคารนี้ นอกจากนี้ตัวเลขเงินเฟ้อยูโรโซนเดือน เม.ย.จะมีการประกาศในวันพุธ บัญชีเดินสะพัดเดือน มี.ค.จะมีการประกาศในวันศุกร์ (Reuters)

เอเชีย:

• ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ได้ให้คำมั่นสัญญาเมื่อวันอาทิตย์ว่าจะใช้เงินจำนวน 124,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในการวางแผนเส้นทางสายไหมใหม่ เพื่อสร้างเส้นทางแห่งสันติภาพการรวมตัวและการค้าเสรีและเรียกร้องให้ละทิ้งโมเดลเก่า ๆ ที่ขึ้นอยู่กับเกมการแข่งขันและเกมการทูต นายสี จิ้นผิง ได้เข้าร่วมการประชุมสุดยอดเกี่ยวกับความริเริ่มนี้โดยมีผู้นำและเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากทั่วโลกเข้าร่วมด้วย (Reuters)

• ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญในเอเชียในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงคำสั่งซื้อเครื่องจักรของญี่ปุ่นที่จะประกาศในวันพุธนี้และ GDP ในไตรมาส 1/60 ที่จะประกาศในวันพฤหัสบดี ข้อมูลในจีนจะมุ่งเน้นไปที่การลงทุนสินทรัพย์ถาวร ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม และยอดขายปลีกทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้ และราคาบ้านในวันพฤหัสบดีนี้ (Reuters)

สินค้าโภคภัณฑ์:

• ราคาน้ำมันปิดบวกเล็กน้อยวันศุกร์ เพราะสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลงและความร่วมมือที่นำโดย OPEC สร้างความหวังว่าภาวะอุปทานน้ำมันล้นเกินจะลดลง EIA รายงานตัวเลขถอนใช้น้ำมันดิบสหรัฐรายสัปดาห์มากกว่าที่คาด หรือเท่ากับ 5.3 ล้านบาร์เรล ชี้ว่าการลดกำลังการผลิตของ OPEC และผู้ผลิตอื่นกำลังช่วยลดอุปทานล้นเกิน น้ำมันดิบ Brent ล่วงหน้าบวก 7 เซนต์ ปิด 50.84 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล น้ำมันดิบสหรัฐล่วงหน้าบวก 1 เซนต์ ปิด 47.84 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล (Reuters)

• สหรัฐเพิ่มแท่นขุดเจาะน้ำมันเป็นสัปดาห์ที่ 17 ติดต่อกัน ข้อมูลจาก Baker Hughes วันศุกร์ชี้ว่าแท่นขุดเจาะน้ำมันเพิ่มขึ้น 9 แท่นสู่ 712 แท่นสัปดาห์ที่แล้ว การผลิตน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้นกว่า 10% นับจากกลางปี 59 สู่ระดับกว่า 9.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน ใกล้กับปริมาณผลิตของรัสเซียและซาอุฯ ที่เป็นผู้ผลิตลำดับต้น (Baker Hughes และ Reuters)

• ทองคำบวกวันศุกร์ ปิดเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยรายสัปดาห์ทันทีหลังการไล่หัวหน้า FBI ออก ทำให้นักลงทุนกังวลและหนุนความอยากถือทองมากขึ้น ทองคำตลาดจรบวก 0.3% ปิด 1,228.01 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ทองคำสหรัฐล่วงหน้าปิดบวก 0.3% ที่ 1,227.70 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ (Reuters)