ฤทธิ์ผลไม้พิษ รับโอนทรัพย์สิน สุดท้ายถูกโยงฟอกเงิน

ฤทธิ์ผลไม้พิษ รับโอนทรัพย์สิน สุดท้ายถูกโยงฟอกเงิน

ฤทธิ์ผลไม้พิษ รับโอนทรัพย์สิน สุดท้ายถูกโยงฟอกเงิน

ดูเหมือนว่าคดีความในข้อหาฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน ของแพท -ณปภา ตันตระกูล จะไม่สิ้นสุดลงง่ายๆ เมื่อชื่อของเธอกลายเป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัยในฐานะภรรยาของนายอัครกิตติ์ วรโรจน์เจริญเดช หรือ เบนซ์ เรซซิ่ง ที่ได้รับการโอนมาจากนายอัครกิตติ์ จำนวนกว่า 1,900,000 บาท และไม่สามารถชี้แจงได้ว่าเงินที่ได้รับมาจากสามีนั้น มีที่มาอย่างไร ซึ่งวลีหนึ่งที่ผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติดเคยเอ่ยไว้คือ ผลไม้มีพิษ คนที่กินผลไม้เข้าไปย่อมได้รับพิษเป็นธรรมดา 

“แพท ณปภา” เป็นที่รู้จักผ่านเอ็มวีเพลง คิดถึงฉันไหม เวลาที่เธอ ... ของวงแท็กซี่ นับเป็นผลงานที่แนะนำตัวเองให้กับผู้คนได้รับรู้ ก่อนก้าวเข้าสู่เวทีการประกวดพาวเวอร์ทรี และกลายเป็นดาราคู่ขวัญกับปอ-ทฤษฎี มีผลงานละครเรื่องแรก คือเรื่อง “ลิขสิทธิ์หัวใจ” ในปี 2548 

ด้วยความเป็นสาวที่มีเชื้อสายปากีสถาน และจีนไหหลำ บวกกับบุคลิกร่าเริงสดใส ทำให้เธอได้รับคิวงานแสดงอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งงานพิธีกรรายการวาไรตี้อีกมากมาย 

เรื่องความรักดูเหมือน แพท ณปภา จะไม่ค่อยสมหวังหลังจากที่ไปรักกับเด็กแว้นคนหนึ่งแต่สุดท้ายถูกบอกเลิกเพราะชายหนุ่มคนนั้นกลับไปคบกับแฟนเก่า 

กระทั่งเกิดปรากฎการณ์อีกครั้ง เมื่อเกิดกระแสคู่จิ้นระหว่าง แพท กับ โตโน่ นักร้องหนุ่ม จนไม่ว่าเขาและเธอจะขยับตัวไปทางไหน ก็เป็นที่สนใจของสังคม ก่อนกระแสจะซาไป 

แต่สิ่งที่สร้างความฮือฮามากที่สุด ก็คือเรื่องที่แพท ตัดสินใจคบหากับอัครกิตติ์ วรโรจน์เจริญเดช หรือ เบนซ์ เรซซิ่ง หนุ่มนอกวงการนักแข่งรถ และมีกิจการเปิดร้านขายรถนำเข้ารถ ตกแต่งรถ รวมทั้งทำธุรกิจอพาร์ตเมนต์อีก 3 แห่ง 

ก่อนฝ่ายชายทำเซอร์ไพร์สคุกเข่าขอเธอแต่งงานกลางสนามแข่งรถ หลังคบหากันเพียงกว่า 7 เดือน เพราะแพทตั้งครรภ์สี่เดือน 

ชีวิตนางเอกสาวเหมือนจะจบลงอย่างสวยงาม แต่แล้วเมื่อ เบนซ์ เรซซิ่ง ถูกเชื่อมโยงความเกี่ยวข้องกับนายณัฐพล นาคคำ หรือ บอย ผู้ต้องหาค้ายาเสพติด เครือข่ายนายไซซะนะ แก้วพิมพา พ่อค้ายาเสพติดรายสำคัญชาวลาว และการโอนเงินจำนวน 1 ล้าน 9 แสนบาท จากสามีมาให้เธอ ส่งผผลให้เธอต้องเข้ามาสู่วังวนของคดีด้วย 

และเงินจำนวน 1 ล้าน 9 แสนบาท ที่เธอไม่สามารถชี้แจงที่มาได้ จึงเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่ตำรวจได้ออกหมายเรียกให้เธอเข้ารับทราบข้อกล่าวหา ร่วมกันฟอกเงินและสมคบเพื่อการฟอกเงิน 
ขณะที่ พลตำรวจโทสมหมาย กองวิสัยสุข ผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด เคยเอ่ยวลีที่ว่าเปรียบ นายไซซะนะ เป็นผลไม้มีพิษ คนที่กินผลไม้เข้าไปย่อมได้รับพิษเป็นธรรมดา คนที่เกี่ยวข้องจึงต้องเดือดร้อน ทั้งถูกดำเนินคดี หรือต้องชี้แจงที่มาของทรัพย์สิน 

แม้สุดท้ายจะไม่มีความผิด แต่ก็ต้องเสียเงิน เสียเวลา หากเข้าไปเกี่ยวข้องพัวพันกับขบวนการค้ายาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง โดยเฉพาะในเรื่องของทรัพย์สิน 

สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะกฎหมายเกี่ยวกับยาเสพติดของไทยมีความเข้มข้น เพื่อหวังจัดการปัญหายาเสพติดให้สิ้นซาก โดยนอกจากจะมี “พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ” เป็นเหมือนกฎหมายแม่แล้ว ยังมี “พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทําความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534” ตามเช็กบิลคนในเครือข่ายและผู้สนับสนุนด้วย แม้ว่าเขาเหล่านั้นจะไม่ได้มีส่วนร่วมสัมผัสยาเสพติดเลยก็ตาม 

กฎหมายฉบับนี้ออกมาเพื่อดำเนินการผู้ที่มีพฤติกรรมช่วยเหลือหรืออำนวยความสะดวกให้แก่เครือข่ายค้ายาเสพติด โดยระบุพฤติกรรมที่เข้าข่ายไว้อย่างน้อย 6 ประการ ฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นการซื้อตั๋วเครื่องบินให้แก่เครือข่ายค้ายาเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ การเช่ารถเพื่อใช้ในการส่งมอบยาเสพติด หรือแม้แต่การซื้อบ้าน หรือซื้อรถหรูราคาแพงในชื่อของคนอื่น รวมทั้งการถือครองทรัพย์สินแทนคนในขบวนการค้ายา ก็ล้วนเข้าข่ายการสนับสนุน และอาจถูกตีความว่าเป็นการสมคบกันค้ายาด้วยเช่นกัน 

มาตรา 29 และ 30 ในกฎหมายฉบับเดียวกัน ยังให้อำนาจพนักงานอัยการยื่นคำร้องต่อศาลให้ริบทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดได้ โดยผู้ที่ถือครองทรัพย์สินนั้น หากจะขอคืน ต้องแสดงให้ศาลเห็นว่าตนเป็นเจ้าของที่แท้จริง และทรัพย์สินนั้นไม่ได้เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด หรือต้องแสดงให้เห็นว่าตนเป็นผู้รับโอน หรือผู้รับประโยชน์ และได้มาโดยสุจริตและมีค่าตอบแทนเท่านั้น 

อธิบายง่ายๆ ก็คือ ผู้ใดที่ถือครองทรัพย์สินที่ถูกยึดจากเครือข่ายค้ายาเสพติด ผู้นั้นมีภาระต้องชี้แจงต่อศาลเอง 

พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทําความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดฯ ยังโยงไปถึงกฎหมายฟอกเงิน เพราะถือเป็นความผิดมูลฐานข้อแรกที่เข้าข่ายความผิดฐานฟอกเงิน จากทั้งหมด 21 ความผิดมูลฐาน และหากโดนยึดอายัดทรัพย์ฐานสนับสนุนหรือสมคบกันค้ายาเสพติดแล้ว (ตาม พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดฯ) ก็จะโดนมาตรการตามกฎหมายฟอกเงินซ้ำอีกทั้งทางแพ่งและอาญา 

โดยในทางแพ่ง จะถูกศาลสั่งยึดทรัพย์ให้ตกเป็นของแผ่นดิน ส่วนในทางอาญา หากเจ้าหน้าที่พิสูจน์ได้ว่ามีส่วนรู้เห็นกับขบวนการค้ายา ไม่ว่าจะสนับสนุนหรือสมคบกัน ก็จะโดนดำเนินคดีอาญาฐานฟอกเงินอีกกระทงหนึ่งด้วย 

สิ่งที่ตำรวจออกมาเตือนคือ การทำธุรกรรมการเงินแปลก ๆ จากคนแปลกหน้าซึ่งไม่ใช่ญาติพี่น้อง หรือแม่แต่คนใกล้ชิดที่ยังไม่รู้จักกันดีพอ มักแฝงไปด้วยอันตราย และปัญหาที่อาจตามมาได้เสมอ และนั่นอาจทำให้เราเข้าไปอยู่ในห่วงโซ่ของเครือข่ายยาเสพติดได้ไม่ยาก เพราะผลไม้มีพิษ คนที่กินผลไม้เข้าไปย่อมได้รับพิษเป็นธรรมดา