'ธกส.'ตั้งเป้าสินเชื่อปีนี้โต7%

ธกส.ตั้งเป้าสินเชื่อปีนี้โต7%จากสิ้นปีก่อนมีสินเชื่อรวม1.27ล้านล้านบาท ส่วนใหญ่ยังเป็นสินเชื่อนาข้าวแต่แนวโน้มจะลดลงเพราะมีแผนมุ่งพัฒนาสินเชื่อเอสเอ็มอีเกษตรวางเป้าเพิ่มสัดส่วนสินเชื่อเอสเอ็มอีเกษตรเป็น40% ภายในปี2563ปัจจุบันอยู่ที่3-4%

นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่าในปีบัญชี2560 ซึ่งเริ่ม1เม.ย.2560-31มี.ค.2561 ธนาคารตั้งเป้าการเติบโตของสินเชื่อไว้ที่7% หรือมีสินเชื่อปล่อยใหม่ประมาณ 8.9 หมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่ยังเป็นสินเชื่อกลุ่มเกษตรกรชาวนาข้าวเป็นหลัก พร้อมตั้งเป้าการเติบโตเงินฝากที่4%และตั้งเป้าหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือเอ็นพีแอลไม่ให้เกิน4%ของสินเชื่อรวม

ผลการดำเนินงานธ.ก.ส.ปีบัญชี2559 มีสินทรัพย์รวม 1.61ล้านล้านบาทเพิ่มขึ้นจากปีก่อน1.1แสนล้านบาทหรือ7.31% มีสินเชื่อรวม1.27ล้านล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 7.27 หมื่นล้านบาท หรือ 6.03% มีเงินฝาก1.4 ล้านล้านบาทเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 9.5หมื่นล้านบาท มีส่วนของเจ้าของ1.26แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.01% มีเอ็นพีแอล 4.03%และมีกำไรสุทธิ9.49พันล้านบาท

“ธนาคารไม่ได้ตั้งเป้าหมายเรื่องการเติบโตของกำไรแต่มุ่งช่วยเหลือเกษตรกรเป็นหลักซึ่งสินเชื่อปล่อยใหม่ในปีนี้จะยังคงเป็นพืชประเภทข้าวอยู่แต่ในอนาคตสัดส่วนของสินเชื่อในกลุ่มนี้จะลดลงตามนโยบายการโซนนิ่งการปลูกข้าวเพื่อส่งเสริมให้ปลูกพืชชนิดอื่นที่มีความเหมาะสมแทน”

ธนาคารมีแผนจะมุ่งส่งเสริมการพัฒนาเอสเอ็มอีด้านการเกษตร โดยมีเป้าหมายขยายสินเชื่อเพิ่มกลุ่มนี้เป็น 40% ของพอร์ตสินเชื่อรวมภายในปี2563 หรือมีการปล่อยสินเชื่อเอสเอ็มอีเกษตรได้ 4 แสนล้านบาทจากปัจจุบัน 4.8หมื่นล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนประมาณ3-4%ของสินเชื่อรวมทั้งหมด

 ธ.ก.ส.จะเน้นการดูแลลูกค้าเชิงรุกได้จำแนกกลุ่มลูกค้าเป็น3กลุ่ม คือ กลุ่มเกษตรกรผู้มีรายได้น้อยและมีหนี้นอกระบบที่เกิดจากเหตุสุจริตจำเป็น(SMALL) กลุ่มลูกค้าเกษตรกรทั่วไป(SMART)จะสนับสนุนทายาทเกษตรกรรุ่นใหม่ทำการเกษตรทดแทนผู้สูงอายุ กลุ่มผู้ประกอบการภาคการเกษตร(SMAEs)ค้นหาลูกค้าSMAEsใหม่ที่มีศักยภาพส่งเสริมผู้ประกอบการภาคเกษตรให้มีความเข้มแข็งเป็นหัวขบวนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก

ทั้งนี้ ปีบัญชี 2559 ธ.ก.ส.ได้สนับสนุนโครงการของรัฐบาลเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อยในภาคเกษตรและนอกภาคเกษตรผ่าน9มาตรการ38โครงการ มีเกษตรกรได้รับการช่วยเหลือเป็นเงิน3.41แสนล้านบาท