JASIF - ซื้อ

JASIF - ซื้อ

มูลค่าเพิ่มสุทธิจากการโอนสินทรัพย์ใหม่เข้ากองทุน

กำไรหลักถือว่าเป็นไปตามคาด

JASIF รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 1/60 ที่ 3.41 พันล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรสุทธิต่อหน่วยเท่ากับ 0.62 บาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 175.2% YoY และ 107.6% QoQ หากไม่รวมรายการพิเศษ ได้แก่ กำไรที่ยังไม่ได้รับรู้จริงจากการตีมูลค่าสินทรัพย์เพิ่มขึ้นจำนวน 2.045 พันล้านบาท กำไรหลัก (หรือเงินสดเหลือสำหรับการจ่ายเงินปันผล) ในไตรมาสนี้อยู่ที่ 1.37 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.3% YoY และ 2.5% QoQ กำไรสุทธิสูงกว่าคาด 155% เนื่องจากรายการกำไรพิเศษข้างต้น กำไรหลักถือว่าเป็นไปตามที่คาดก่อนหน้า

ในเดือนมี.ค. 2560 กองทุนได้ว่าจ้างผู้ประเมินราคาอิสระมาทำการประเมินมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์เส้นใยแก้วนำแสงจำนวน 9.8 แสนคอร์กม. ให้เป็นมูลค่ายุติธรรมใหม่ซึ่งได้มูลค่าใหม่ที่ 57,996 ล้านบาท กองทุนจึงได้ทำการรับรู้เป็นกำไรพิเศษที่ไม่ใช่เงินสดจากการตีมูลค่าสินทรัพย์ใหม่ในครั้งนี้ ซึ่งกำไรพิเศษดังกล่าวจะไม่ผ่านไปให้กับผู้ถือหน่วยในรูปของเงิน
ปันผลที่เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด มูลค่าสินทรัพย์สุทธิอยู่ที่ 10.71 บาท/หน่วย ณ สิ้นไตรมาส 1/60 กองทุนยังไม่ได้ประกาศจ่ายเงินปันผล ณ ตอนนี้ แต่เราคาดเงินปันผลต่อหน่วยมีแนวโน้มอยู่ที่ 0.24 บาท/หน่วยสำหรับในไตรมาส 1/60 โดยใช้สมมติฐานอัตราการจ่ายเงินปันผลที่ 95% ซึ่งจะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ที่ 2.3% สำหรับในไตรมาสนี้


ประเด็นหลักผลประกอบการ

รายได้ค่าเช่าในไตรมาสนี้อยู่ที่ 1.44 พันล้านบาท เพิ่มขึน 10.3% YoY และ 2% QoQ โดยคำนวณรวมผลกระทบเต็มไตรมาสของการโอนสินทรัพย์เข้ามาครบตามจำนวนที่ระดับสูงสุด TTTBB ได้ทำการโอนเส้นใยแก้วนำแสงครบตามจำนวนที่ 9.8 แสนคอร์กม.ไปแล้ว ณ สิ้นปี 2559 (ซึ่งเป็นจำนวนสูงสุดที่ TTTBT มีหน้าที่ที่ต้องทยอยส่งมอบในช่วงระหว่างปี
2558-59) ดังนั้นจึงไม่มีการโอนสินทรัพย์เพิ่มเติมแต่อย่างใดอีกแล้วในไตรมาส 1/60 ในขณะที่อัตราค่าเช่าไม่เปลี่ยนแปลงทั้ง YoY และ QoQ รายได้ค่าเช่าสุทธิอยู่ที่ 1.38 พันล้านบาท หลังจากหักค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ซึ่งได้แก่ ค่าซ่อมบำรุงเส้นใยแก้วนำแสง 52 ล้านบาท ค่าสิทธิในการพาดสาย 7 ล้านบาท และค่าประกัน 1 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรา
กำไรขั้นต้นที่ 95.8%

แนวโน้ม

วันที่ 27 เม.ย.ที่ผ่านมา ที่ประชุมผู้ถือหุ้นของ JAS ได้อนุมัติให้ TTTBB ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ JAS ทำการขายเส้นใยแก้วนำแสงเพิ่มเติมไม่เกิน 9.8 แสนคอร์กม.เข้ากองทุน JASIF ภายในระยะเวลา 3 ปี และให้ TTTBB ทำการเช่าเส้นใยแก้วนำแสงกลับจาก JASIF ภายใต้สัญญาเช่าหลัก (80% ของคาปาซิตี้ใหม่) เป็นเวลา 12-15 ปี และสัญญาเช่ารอง (20% ของคาปาซิตี้ใหม่) นอกจากนี้ที่ประชุมยังอนุมัติให้ JAS เข้าจองซื้อหน่วยลงทุนใหม่ของ JASIF ในสัดส่วนไม่เกิน 33.33% หาก JASIF สามารถใช้แหล่งเงินทุนจากการกู้เพื่อซื้อเส้นใยแก้วนำแสงเพิ่มเติม ขนาดของการเพิ่มทุนก็จะมีแนวโน้มลดลง เราเชื่อว่าการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนเพิ่มขึ้นจะสร้างมูลค่าเพิ่มสุทธิให้กับ JASIF เนื่องจากกำไรที่เพิ่มขึ้นจากการโอนสินทรัพย์ใหม่เข้ากองทุนที่เพิ่มขึ้นจะกลบผลกระทบของจำนวนหน่วยที่ออกใหม่เพิ่มขึ้นจากการเพิ่มทุน หรือการออกเงินกู้ใหม่

สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป

เราปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2560 เพิ่มขึ้นอีก 37% (มาอยู่ที่ 7.55 พันล้านบาท) เนื่องจากการคำนวณกำไรพิเศษดังกล่าวข้างต้น 2 พันล้านบาทเข้าไปในประมาณการ แต่เรายังคงประมาณการกำไรหลักปี 2560 ไว้เท่าเดิมไม่เปลี่ยนแปลง


คำแนะนำ

เราจะทำการคำนวณรวมผลกระทบของการโอนสินทรัพย์ใหม่เข้าไปในประมาณการของเรา และจะทำการปรับราคาเป้าหมายของเราใหม่สำหรับ JASIF ทันทีที่รายละเอียดของขนาดกองทุนที่ขยายเพิ่มขึ้น สัดส่วนและขนาดของการเพิ่มทุน รวมถึงการออกเงินกู้ใหม่มีความชัดเจนมากขึ้น โดยภาพรวม เราเชื่อว่าการโอนสินทรัพย์ใหม่เข้ากองทุนในครั้งนี้จะนำไปสู่เงินปันผลที่ให้กับผู้ถือหน่วยปัจจุบันที่เพิ่มสูงขึ้น เรายังคง คำแนะนำ “ซื้อ” เนื่องจากอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่สูงมากถึง 8.7% สำหรับในปี 2560 ถ้าเทียบกับอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลเฉลี่ยของตลาดฯ ซึ่งอยู่ที่ 3% ในปี 2560 และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะเวลา 10 ปีซึ่งอยู่เพียงแค่ 2.7%