เร่งดึง 'บ.ภูธร' เข้าจดทะเบียน

ตลาดเอ็มเอไอ เดินสายต่างจังหวัด ดึงบริษัทเข้าระดมทุน พบมากกว่า 50 % มีศักยภาพเข้าจดทะเบียน แม้ก.ล.ต.จะมีการปรับเกณฑ์ใหม่ให้เข้มขึ้น ชี้ผู้บริหารเริ่มเห็นประโยชน์ของตลาดทุน คาดต้องใช้เวลาเตรียมความพร้อมอีก 3- 5 ปี 

นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ กล่าวว่า เอ็มเอไอ ได้ร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ออกโรดโชว์ให้ความรู้กับภาคเอกชนในต่างจังหวัด เพื่อหาบริษัทเอกชนพร้อมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอมากขึ้น พบว่ามีผู้ให้ความสนใจที่จะเข้าร่วมรับฟังจำนวนมาก แม้ว่าสำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จะมีการปรับเกณฑ์การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ให้เข้มงวดมากขึ้น

“ความสนใจในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ยังมีค่อนข้างมาก หลังจากที่ไปพบกับเอกชนในจังหวัดสุราษฎร์ธานี มีเอกชนหลายรายที่มีศักยภาพ แม้ว่าจะมีการปรับเกณฑ์การเข้าจดทะเบียนให้เข้มงวดมากขึ้นก็ตาม สาเหตุที่ทำให้มีความต้องการเข้าจดทะเบียน เนื่องจากเป็นการสืบทอดของผู้บริหารรุ่นใหม่ และเห็นประโยชน์ของการเข้าจดทะเบียน”

นายประพันธ์กล่าวว่า การเข้าตลาดหลักทรัพย์ จะช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจของบริษัทในการทำธุรกิจมากขึ้น ทั้งได้รับแหล่งเงินทุนในการทำธุรกิจ  เพียงแค่บริษัทแสดงเจตจำนงจะเข้าจดทะเบียนก็มีสถาบันการเงินพร้อมให้เงินกู้ โดยช่วงที่ผ่านมา บริษัทในต่างจังหวัดมีความสนใจเข้าจดทะเบียนค่อนข้างมาก โดยในปี 2559 มีบริษัทจากต่างจังหวัดเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ 10% ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดทั้งหมด บริษัทที่ให้ความสนใจเข้าจดทะเบียนอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ และจังหวัดที่เป็นหัวเมืองขนาดใหญ่ทั้งในจังหวัดภูเก็ต และ สุราษฎร์ธานี

อย่างไรก็ตาม เอ็มเอไอมีแผนที่จะให้ข้อมูลกับเอกชนอย่างต่อเนื่อง  โดยในวันที่ 3 พ.ค.นี้ เอ็มเอไอจะพบกับบริษัทเอกชนจำนวน 40 บริษัท โดยจากกการดูข้อมูลผลประกอบการของบริษัท  ทั้งรายได้ ยอดขาย และขนาดบริษัท ของบริษัทที่เข้ารับฟังข้อมูลในเบื้องต้นคาดว่ามีบริษัทที่มีศักยภาพในการเข้าจดทะเบียนกว่า 50%  ซึ่งบริษัทเหล่านี้จะต้องใช้เวลาเตรียมความพร้อม 3-5 ปี ถึงจะเข้าจดทะเบียนได้ 

ทั้งนี้เอ็มเอไอจะมีการให้ข้อมูลในจังหวัด ระยอง และอุบลราชธานี ปัจจุบันมีบริษัทที่พร้อมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ โดยมีการแต่งตั้งที่ปรึกษาทางการเงิน และ ผู้ตรวจสอบบัญชีแล้วกว่า 100 บริษัท 

ด้านนายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 1 ปี 2560 เบื้องต้นคาดการณ์ว่าภาพรวมกำไรราว 2.3 แสนล้านบาท ขณะนี้มีการประกาศถึงเมื่อวันที่ 28 เม.ย.ที่ผ่านมาทั้งสิ้น 27 บริษัท มีกำไรรวมประมาณ 9.7 หมื่นล้านบาท หากทิศทางยังเป็นลักษณะนี้ก็มีโอกาสที่กำไรโดยรวมบริษัทจดทะเบียนในงวดไตรมาส 1 ปีนี้จะทำได้ใกล้เคียงกับคาดการณ์ ขณะที่ Valuation ตลาดที่ยังถูกอยู่ที่ระดับ 15.4-15.5 เท่า ก็จะช่วยประคองตลาดไม่ให้ปรับตัวลง