Daily Market Outlook (28 เม.ย.60)

Daily Market Outlook (28 เม.ย.60)

ความตึงเครียดเรื่องเกาหลีเหนือเริ่มผ่อนคลายลง

คาดตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวในกรอบแคบวันนี้ โดยอาจค่อนไปทางบวกหลังจากสหรัฐมีท่าทีผ่อนปรนลงกับเกาหลีเหนือ โดยกล่าวว่าอาจมีการพูดคุยกันหากมีวาระที่เหมาะสม ขณะที่รัฐบาลจีนและรัสเซียดูเต็มใจที่จะช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ตลาดดูไม่ค่อยพอใจกับเรื่องนโยบายการลดภาษีของทรัมป์ ปัจจัยภายในประเทศมีทั้งบวกและลบแต่ค่อนไปทางบวกมากกว่า สำนักงานเศรษฐกิจการคลังปรับประมาณการการเติบโตส่งออกปีนี้เป็น 3.3% จาก 2.5% และคงประมาณการการเติบโต GDP ที่ 3.6% บ่งบอกถึงเศรษฐกิจที่กำลังเติบโตไปได้ดี ในระหว่างที่ หนี้ครัวเรือนแตะระดับสูงสุดในรอบ 8 ปี แต่เรามองว่าสถานกาณ์น่าจะค่อยๆ ผ่อนคลายลงตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

หุ้นเด่นวันนี้: SAWAD (ราคาปิด 45.50 บาท, ซื้อ, ราคาเป้าหมายปี 60 ของ AWS 61.00 บาท)

บมจ. ศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ 1979 เป็นหุ้นเด่นในวันนี้เนื่องจากผลการดำเนินงานไตรมาส 1/60 ที่น่าจะออกมาเติบโตต่อเนื่อง แนวโน้มที่สดใส และด้วยกลยุทธ์ consumer play เราคาดกำไรสุทธิไตรมาส 1/60 ของ SAWAD จะทำนิวไฮอีกครั้งอยู่ที่ 620 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% QoQและ 48% YoYหนุนโดยการเติบโตของสินเชื่ออย่างแข็งแกร่งที่ 4% QoQและ 45% YoYเราคาดว่าสินเชื่อของบริษัทในปีนี้จะเติบโตถึง 40% หนุนโดยกลยุทธ์การขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง เราคาดจำนวนสาขาของบริษัทจะอยู่ที่ 2,400 สาขาในปี 60 เพิ่มขึ้นจาก 2,130 สาขาในปี 59 นอกจากนี้ เรามองว่าการเข้าซื้อหุ้น BFIT จำนวน 36.35% น่าจะช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจให้กับบริษัทอีกมากในอนาคตจากการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายขึ้น นอกเหนือจากตลาดในประเทศแล้ว เรามีมุมมองค่อนข้างบวกกับการขยายธุรกิจไปในต่างประเทศของ SAWAD โดยที่ปีนี้ บริษัทตั้งเป้าพอร์ตสินเชื่อในเมียนมาร์จะอยู่ที่ราว 2-3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากประมาณ 500 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา อีกทั้ง บริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาเพื่อเข้าลงทุนในประเทศเวียดนามและอินโดนีเซีย โดยที่การลงทุนในเวียดนามน่าจะได้ข้อสรุปภายในปีนี้ เราคาดการณ์กำไรจะเติบโตที่ 33.2% ในปี 60 และ 31.3% ในปี 61 Price Pattern ของ SAWAD มีความแข็งแกร่งในแนวโน้มหลักที่เป็นแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) อย่างชัดเจน จากการเกิดทั้ง Daily, Weekly, & Monthly Buy Signal เมื่อพิจารณา Price Pattern ของ SAWAD ยังบ่งบอกว่าจะเห็นการทำ New High อีกด้วย โดยมีเป้าหมายแรกเพื่อทดสอบ High เดิมที่ 48 บาท และมีเป้าหมายแรกของการทำ New High อยู่ที่ 52 บาท ตามลำดับ ทั้งนี้ SAWAD มีจุด Stop Loss ระยะสั้นอยู่ที่ 42.50 บาท (Resistance: 46.00, 46.50, 47.50; Support: 45.00, 44.50, 43.50)

ปัจจัยสำคัญ

ประเด็นในประเทศ:

• สศค. ปรับเพิ่มคาดการณ์ส่งออกปี 60 สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ปรับเพิ่มคาดการณ์ส่งออกปี 60 เป็น 3.3% จาก 2.5% เพราะสภาพเศรษฐกิจของคู่ค้าดีขึ้น อย่างไรก็ดี สศค.คงคาดการณ์การเติบโตเศรษฐกิจที่ 3.6% จากการใช้จ่ายของรัฐบาลและการส่งออกที่ดีขึ้น (Bangkok Post)

• หนี้ครัวเรือนแตะจุดสูงสุดรอบแปดปี ม.หอการค้าไทยรายงานว่าหนี้ครัวเรือนแตะจุดสูงสุดรอบแปดปีที่ 131,479 ต่อครอบครัว เพิ่มขึ้น 10.4% จากปีที่แล้ว อิงจากผลสำรวจที่ออกมาเมื่อวานจากแรงงาน 1,258 คนซึ่งมีรายได้น้อยกว่า 15,000 บาทต่อเดือน หนี้ที่เพิ่มขึ้นสะสมจากสามปีที่ผ่านมาซึ่งเศรษฐกิจมีปัญหาและราคาสินค้าเกษตรลดลง อย่างไรก็ดี ม.หอการค้าไทยระบุว่าไม่น่าห่วงเนื่องจากหนี้ใหม่มาจากการซื้อสินค้าคงทน เช่น รถยนต์ รถจักรยานยนต์และบ้าน (Bangkok Post)

• แบงค์ทั้งสองคาดตั้งสำรองสูงปีนี้ กรรมการบริหาร BBL นายเดชา ตุลานันท์ กล่าวว่าธนาคารอาจจะยังตั้งสำรองไว้ในระดับสูงอยู่ในปีนี้ และคาดระดับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) คงอยู่ในระดับสูงอยู่ในไตรมาส 2/60 อย่างไรก็ตาม ธนาคารมองว่าสถานการณ์หนี้เสียน่าจะปรับตัวดีขึ้นในครึ่งปีหลัง ขณะที่ ประธานกรรมการบริหาร SCB นายอาทิตย์ นันทวิทยา คาดจะตั้งสำรองที่ประมาณ 5.1 พันล้านบาทในแต่ละไตรมาสที่เหลือของปีนี้ (Bangkok Post)ความเห็น: ข่าวดังกล่าวเป็นไปตามการคาดการณ์ของเรา เรายังคงประมาณการกำไรสุทธิของ BBL (ราคาปิด 179.50 บาท; ซื้อ; ราคาเป้าหมายของ AWS ปี 60 213.00 บาท) ที่ 3.54 หมื่นล้านบาท (+11.2% YoY) และ SCB (ราคาปิด 156.00 บาท; ซื้อ; ราคาเป้าหมายของ AWS ปี 60 185.00 บาท) ที่ 5.15 หมื่นล้านบาท (+8.1% YoY)

• AOT (ราคาปิด 40.75 บาท) ได้รับการแจ้งให้จ่ายค่าธรรมเนียมย้อนหลังจากใช้ท่าอากาศยาน 1,264 ล้านบาท เป็น One-time ในวันที่ 19 พ.ค.60 นอกจากนี้ยังมีค่าธรรมเนียมรายปีประมาณร้อยละ 2-5 ของรายได้จากการดำเนินงาน (SET)ความเห็น: เรามองเรื่องนี้เป็นข่าวบวกเมื่อเทียบกับข่าวที่ออกมาก่อนหน้านี้ เพราะก่อนหน้านี้เป็นข่าวว่าจะต้องจ่าย One-time มากถึง 20,000 ล้านบาท และจ่ายรายปีเพิ่มอีกราว 5,000 ล้านบาท การจ่าย 1,264 ล้านบาท เป็น One-time ไม่มีผลกระทบในระยะยาว และคาดว่าค่าใช้จ่ายที่ต้องเพิ่มอีก 200 ล้านบาทต่อปี ไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยยะต่อฐานกำไรของ AOT ที่ระดับ 22,000 ล้านบาทต่อปีแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 46.00 บาท

• PTTEP(ราคาปิด 97.75บาท) ประกาศกำไรสุทธิไตรมาส 1/60 ที่ 1.22 หมื่นล้านบาทซึ่งหากคิดเป็นฐานค่าเงินเหรียญสหรัฐฯ กำไรสุทธิไตรมาสนี้เท่ากับ 349 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แยกเป็นกำไรจากการดำเนินงาน 211 ล้านเหรียญฯ และรายการพิเศษ 138 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (กำไรอัตราแลกเปลี่ยน 130 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ที่เหลือมาจากกำไร Hedging และรายการอื่น ๆ) จากปริมาณขายที่ 304,000 บาร์เรลต่อวันเทียบเท่าน้ำมันดิบ ต่ำกว่าเป้าหมายของบริษัทที่วางไว้ที่ 310,000 บาร์เรลต่อวันเทียบเท่าน้ำมันดิบ และราคาขายอยู่ที่ 38 เหรียญฯ ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ เป็นราคาที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับราคาถัวเฉลี่ยในปีก่อนที่ 35.91 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล ทั้งที่ราคาก๊าซในไตรมาสนี้อ่อนแอลงมาอยู่ที่ 5.24 เหรียญสหรัฐฯ/MMBTU จากค่าเฉลี่ยในปี 2559 ที่ 5.60 เหรียญสหรัฐฯ/MMBTU ในขณะที่ EBITDAmargin ไตรมาสนี้สูงถึง 74% ณ สิ้นไตรมาส 1/60 PTTEP มีเงินสดคงเหลือในมือราว 4.4 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ บริษัทคาดการณ์ปริมาณขายเฉลี่ยต่อวันในไตรมาส 2/60 เท่ากับ 300,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ และคาดทั้งปีที่ 300,000-310,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ทำให้งบการเงินในไตรมาสนี้ดีคือราคาปิโตรเลียมที่ปรับตัวสูงขึ้นYoY และQoQ (โดยรวมคาดว่าราคาก๊าซช่วงที่เหลือของปีสูงกว่าไตรมาส 1/60 ประมาณ 5%) รวมถึงต้นทุนต่อหน่วยของการผลิตลดลงมาที่ 27.54 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล ในไตรมาสนี้ เทียบกับค่าเฉลี่ยในปี 2559 ที่เท่ากับ 30.46 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล และค่าเฉลี่ยของปี 2560 อยู่ในระดับ 29 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล (SET) ความเห็น: เรายังแนะนำขาย ราคาเป้าหมายที่ 78 บาท ตามวิธี DCF โดยเราคาดการณ์กำไรจากการดำเนินงานในปีนี้ที่ 19,876 ล้านบาท (EPS 5.01 บาท) เติบโต 55%YoY ผลประกอบการของ PTTEP จะขึ้นอยู่กับทิศทางของราคาน้ำมันเป็นหลัก ซึ่งเรายังไม่เห็นแนวโน้มราคาน้ำมันเป็นขาขึ้น เนื่องจากผลผลิตปิโตรเลียมจากแหล่งเชลออยล์-เชลล์แก๊สในสหรัฐฯ ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง PTTEP จะมีการจัด Analyst Meeting วันที่ 15 พ.ค.60 นี้

ต่างประเทศ:

• จีนเตือนเกาหลีเหนือว่าจีนจะคว่ำบาตรทางการค้าหากเกาหลีเหนือยังคงทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ นายเร็กซ์ ทิลเลอร์สัน รมต. กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐเผยเมื่อวันพฤหัส ซึ่งเป็นการข่มขู่ที่แข็งกร้าวที่สุดของจีนต่อประเทศเพื่อนบ้านรายนี้ จีนได้ระงับการนำเข้าถ่านหินจากเกาหลีเหนือมาตั้งแต่เดือนก.พ. ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญที่สุดของเกาหลีเหนือ และมีความเป็นไปได้มากขึ้นว่าจะจำกัดการขนส่งน้ำมันไปยังเกาหลีเหนือหากเกาหลีเหนือยังคงกระทำการท้าทายเช่นนี้ นายทิลเลอร์สันมีกำหนดเป็นประธานการประชุมกับรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติในวันศุกร์นี้ ซึ่งเขาจะย้ำถึงความต้องการของประเทศสมาชิกให้ดำเนินการคว่ำบาตรเกาหลีเหนืออย่างเต็มที่รวมทั้งดำเนินการตามขั้นตอนต่าง ๆ ที่เป็นไปได้ (Reuters)

• ปูตินและอาเบะเรียกร้องให้เกาหลีเหนือและชาติอื่น ๆ หลีกเลี่ยงการยั่วยุ นายวลาดิมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซียและนายชินโซะ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น เรียกร้องให้เกาหลีเหนือและชาติอื่น ๆ หยุดพฤติกรรมที่อาจก่อให้เกิดความตึงเครียดมากขึ้นเกี่ยวกับโครงการอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ (Reuters)

• ราคาพันธบัตรปรับตัวขึ้นต่อเมื่อวันพฤหัส จากความต้องการซื้อพันธบัตรหลังการประกาศแผนปรับลดภาษีของทรัมป์ที่น่าผิดหวังและความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการเลือกตั้งในฝรั่งเศสและสถานการณ์ตึงเตรียดในเกาหลีเหนือและซีเรีย ราคาพันธบัตรอายุ 10 ปีเพิ่มขึ้น 5/32 อัตราผลตอบแทนอยู่ที่ระดับ 2.292% ปรับตัวลงจาก 2.311% เมื่อวันพุธ (Reuters)

• ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าในการซื้อขายเช้าวันนี้ แต่ยังอ่อนค่าลงเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ เมื่อเทียบเป็นรายเดือน ส่วนเงินยูโรแข็งค่าเล็กน้อยเมื่อเทียบเป็นรายเดือนหลังจากธนาคารกลางยุโรปคงมาตรการผ่อนคลายทางการเงิน ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ปิดบวก 0.1% สู่ระดับ 99.193 แต่ลดลง 0.8% ในรอบสัปดาห์และลดลง 1.2% ในเดือนเม.ย. (Reuters)


สหรัฐ:

• ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐปิดบวกเมื่อวันพฤหัส ขณะที่ดัชนี NASDAQ ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ นักลงทุนให้ความสนใจรายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทต่าง ๆ หลังจากการประกาศแผนปรับลดภาษีของทรัมป์เมื่อวันพุธไม่ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน (Reuters)

• คาดกำไรสุทธิบริษัทจดทะเบียนเพิ่มขึ้น มีการประมาณการว่ากำไรสุทธิรวมของบริษัทที่อยู่ใน S&P500 จะเพิ่มขึ้น 12.4% ในไตรมาส 1/60 ซึ่งนับว่ามากที่สุดนับแต่ปี ค.ศ. 2011 โดยเพิ่มขึ้นจาก 11.8% เมื่อวันพุธ และเพิ่มขึ้น 10% เมื่อวันที่ 12 เม.ย. จากข้อมูลของ Thomson Reuters I/B/E/S (Reuters)

• ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐชี้ว่าการใช้จ่ายทางธุรกิจเพิ่มขึ้น คำสั่งซื้อใหม่สำหรับสินค้าทุนที่ผลิตในสหรัฐเพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่คาดในเดือนมี.ค. แต่การส่งสินค้าที่เพิ่มขึ้นติดต่อกัน 2 เดือนแสดงว่าการลงทุนทางธุรกิจเพิ่มขึ้นในไตรมาส 1/60 จากกลุ่มพลังงานที่กำลังฟื้นตัว สินค้าทุนที่ไม่รวมเครื่องบินและสินค้าด้านอาวุธเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนมี.ค. หลังจากที่เพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนก.พ. การจัดส่งสินค้าคงทนพื้นฐานเหล่านี้เพิ่มขึ้น 0.4% หลังจากที่เพิ่มขึ้น 1.1% ในเดือนก.พ. นักวิเคราะห์ประมาณการก่อนหน้านี้ว่าคำสั่งซื้อสินค้าคงทนพื้นฐานจะเพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนก่อน การเพิ่มขึ้นในเดือนมี.ค. แสดงว่าภาคการผลิตมีแนวโน้มปรับตัวลงหลังจากเติบโตอย่างแข็งแกร่งในช่วงที่ผ่านมา ภาคการผลิตคิดเป็น 12% ของเศรษฐกิจสหรัฐ (Reuters)

• ตลาดแรงงานยังคงตึงตัว จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 14,000 ราย ในสัปดาห์ที่แล้ว สิ้นสุด ณ วันที่ 22 เม.ย. สู่ระดับ 257,000 ราย อย่างไรก็ตาม ตัวเลขผู้ที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกยังคงอยู่ต่ำกว่า 300,000 ราย เป็นสัปดาห์ที่ 112 ติดต่อกัน ซึ่งยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ปี 1970 นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า ตัวเลขผู้ที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 245,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว (Reuters)

ยุโรป:

• ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลงวานนี้ โดยนักลงทุนถอยกลับหลังจากที่ตลาดปิดบวกมา 6 วันหนุนโดยสถานการณ์ที่คลี่คลายลงจากการเลือกตั้งรอบแรกในฝรั่งเศสรวมถึงผลการดำเนินที่ออกมาดี (Reuters)

• ECB คงอัตราดอกเบี้ยและนโยบายกระตุ้นทางการเงินไว้ตามเดิม อย่างไรก็ตาม อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลยูโรโซนและค่าเงินยุโรปลดลงหลังจาก Draghiกล่าวว่าธนาคารกลางไม่ได้มีการพูดคุยเรื่องการลดนโยบายผ่อนคลายทางการเงินในการประชุมครั้งนี้ (Reuters)

เอเชีย:

• BOJ คงนโยบายการเงินไว้อย่างมั่นคงในวันพฤหัสบดีและมีมุมมองที่เป็นบวกต่อเศรษฐกิจมากกว่าเดือนก่อนส่งสัญญาณความเชื่อมั่นในการฟื้นตัวของการส่งออก ธนาคารกลางยังคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นไว้ที่ติดลบ 0.1% อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี ที่ระดับ 0% นอกจากนี้ยังคงระดับการรับซื้อพันธบัตรรัฐบาลทุกปีไว้ที่ 80 พันล้านเยน (719 พันล้านเหรียญสหรัฐ) เมื่อไม่มีการเก็งกำไรในตลาดก็อาจจะนำไปสู่การถอนมาตรการกระตุ้นออกไปในที่สุด (Reuters)

• เงินเฟ้อของญี่ปุ่นในเดือนมีนาคมเพิ่มขึ้น 0.2% YoYเป็นเงินเฟ้อพื้นฐานซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์น้ำมัน แต่ไม่รวมราคาอาหารสด แต่เมื่อเทียบกับการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ที่ +0.3% ต่อปี ถือว่าเพิ่มน้อย (Reuters)

• การใช้จ่ายครัวเรือนของญี่ปุ่นในแง่ราคาที่ปรับจริงลดลง 1.3% YoYในเดือน มี.ค.เมื่อเทียบกับการคาดการณ์ค่าเฉลี่ยที่มองลดลงเพียง 0.3% (Reuters)

• อัตราว่างงานของญี่ปุ่นปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องที่ระดับ 2.8% ในเดือน มี.ค.และความพร้อมในการจ้างงานเพิ่มขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่เดือน พ. ย. 2533 ดีกว่าอัตราการว่างงานที่ปรับฤดูกาลแล้วที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์คือ 2.9% อัตรางานต่อผู้สมัครเท่ากับ 1.45 (Reuters)

• จีนมีท่าทีที่อ่อนลงต่อกรณีของสหรัฐฯ ในเกาหลีเหนือ ในวันพฤหัสที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามจีนเน้นย้ำถึงความขัดแย้งกับระบบป้องกันขีปนาวุธของสหรัฐฯในเกาหลีใต้ (Reuters)

สินค้าโภคภัณฑ์:

• น้ำมันดิบร่วงกว่า 1% วันพฤหัส เพราะบ่อน้ำมันสำคัญสองแห่งในลิเบียกลับมาเริ่มดำเนินการเพิ่มจำนวนน้ำมันที่ล้นตลาดอยู่แล้ว น้ำมันดิบสหรัฐล่วงหน้าลบ 1.22 ดอลลาร์ ปิด 51.17 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล น้ำมันดิบสหรัฐล่วงหน้าลบ 1.25 ดอลลาร์ ปิด 48.37 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล (Reuters)

• Baker Hughes บริษัทบริการข้อมูลพลังงานระบุแทนขุดเจาะน้ำมันสหรัฐเท่ากับ 688 แท่นสำหรับสัปดาห์ถึงวันที่ 21 เม.ย. มากสุดในรอบกว่า 2 ปีโดยแท่นเพิ่มเข้ามาเป็นสัปดาห์ที่ 14 ติดต่อกันแล้วและการผลิตเชลออยใน พ.ค. ก็ทำท่าจะเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบกว่าสองปีเช่นกัน (Reuters)

• ทองคำกลับมาลดลงจากจุดสูงสุดรอบ 5 เดือนในกลาง เม.ย. วันพฤหัสเป็นบวกลดลงหลังจากประธานาธิบดี Trump ประกาศลดภาษีทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐลดลง ทองคำตลาดจรลบ 0.4% ปิด 1,263.57 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ทองคำตลาดล่วงหน้าบวก 0.1% ปิด 1,265.10 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ (Reuters)