นักวิชาการมช.จี้ถามคดี 'ชัยภูมิ ป่าแส' ไม่คืบหน้า

นักวิชาการมช.จี้ถามคดี 'ชัยภูมิ ป่าแส' ไม่คืบหน้า

เครือข่ายภาคปชช.-นักวิชาการมช. จี้คดีวิสามัญฆาตกรรม "ชัยภูมิ ป่าแส" หลัง 38 วันไม่คืบหน้า เรียกร้องเปิดเผยกล้องวงจรปิดสาธารณชน-หยุดแทรกแซง

เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 24 เม.ย.60 ที่ห้องประชุม คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ดร.ชยันต์ วรรธนะภูติ ประธานกรรมการหัวหน้าศูนย์ศึกษาชาติพันธุ์และการพัฒนา, ศ.ดร.อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ รศ.สมชาย ปรีชาศิลปกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นายสุมิตรชัย หัตถสาร ทนายความ พร้อมนักวิชาการ ในนามเครือข่ายติดตามความคืบหน้าคดีวิสามัญฆาตกรรมชัยภูมิ ป่าแส ร่วมกันแถลงข่าว 38 วันหลังวิสามัญมาตกรรม ชัยภูมิ ป่าแส ความ(ไม่) คืบหน้าในการแสวงหาความจริง

ดร.ชยันต์ วรรธนะภูติ ประธานกรรมการหัวหน้าศูนย์ศึกษาชาติพันธุ์และการพัฒนา เปิดเผยว่ากลุ่มนักวิชาการเชียงใหม่และองค์กร 12 องค์กรร่วมกันแถลงวันนี้มีเหตุผลสองประการคือ ที่ผ่านมา นายชัยภูมิ ป่าแส ถูกวิสามัญฆาตกรรม ได้มีเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงมาแถลงข่าวว่า คนถูกวิสามัญฆาตกรรมเกี่ยวข้องกับยาเสพติดก็ดี มีการต่อสู้ขัดขืน รวมทั้งเตรียมจะขว้างระเบิดกับเจ้าหน้าที่ ซึ่งข้อเท็จจริงดังกล่าวยังไม่มีการสืบสวนให้ได้ประจักษ์ว่าบุคคลดังกล่าวได้กระทำจริงหรือไม่ และยิ่งกว่านั้นก็คือได้มีการอ้างถึงว่ามีหลักฐานจากกล้องวงจรปิด แต่ก็ยังไม่การส่งมอบกล้องวงจรปิดดังกล่าวให้กับพนักงานสอบสวน ปรากกฏการณ์ดังกล่าวมีลักษณะความไม่โปร่งใส ทางนักวิชาการประชาชนมีความรู้สึกว่า เมื่อมีข้อเท็จจริงคือข้อมูลในกล้องวงจรปิด เจ้าหน้าที่ของรัฐได้ดูแล้วแต่ไม่สามารถเปิดเผย นี่คือความไม่โปร่งใส การกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำทางจิตวิทยาให้ชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์อยู่ในความเครียดอยู่ในภาวะสับสน

ทั้งนี้ เครือข่ายฯมีข้อเรียกร้องให้เปิดเผยภาพกล้องวงจรปิด ส่งมอบพยานหลักฐานให้พนักงานสอบสวนโดยเร็ว ขอเรียกร้องให้บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ระดับสูง ยุติการให้ความเห็นในการชี้นำรูปคดี หรือแทรกแซงกสารทำงานของพนักงานสอบสวน เพื่อให้พนักงานสอบสวนปฏิบัติหน้าที่อย่างโปร่งใสตรงไปตรงมา ขอให้พนักงานสอบสวนและอัยการเร่งดำเนินการเพื่อเกิดกระบวนการไต่สวนการตายตามกฏหมาย เพื่อให้เกิดความจริงและเป็นธรรม และแจ้งความคืบหน้าต่อครอบครัวของชัยภูมิและสาธารณชนเป็นระยะ และขอเรียกร้องให้หน่วยงานทหารยุติบทบาทในการปฏิบัติทางจิตวิทยาโดยสิ้นเชิง เพราะการกระทำดังกล่าว แทนที่จะเป็นการสร้างความเข้าใจระหว่างประชาชยนกับรัฐ แต่กลับเป็นการสร้างความหวาดกลัวและไม่ไว้วางใจมากยิ่งขึ้น

นายสุมิตรชัย หัตถสาร ทนายความ กล่าวเสริมว่า ตอนนี้คดีนั้นอยู่ในขั้นของพนักงานสอบสวนอยู่ และในส่วนของเราจะนำพยานไปในชั้นไต่สวนเพราะพยานไม่มีความปลอดภัยในชั้นไต่สวน แต่เราก็ไม่ได้ห้ามถ้าพนักงานสอบสวนจะไปไต่สวนชาวบ้านในพื้นที่ ตนเองคิดว่าจะมีกล้องสองตัวเห็นเหตุการณ์ตอนตรวจค้น แต่จุดที่ยิงไม่มีกล้องแน่ เพราะจุดยิงห่างออกไปสองสามร้อยเมตร ซึ่งก็ไม่มั่นใจว่าหลังเกิดเหตุการณ์แล้วมุมกล้องถูกเปลี่ยนหรือไม่

รศ.สมชาย ปรีชาศิลปกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า พวกเรามีความกังวลว่า ความล่าช้าความไม่โปร่งใส เช่นเรื่องของกล้องวงจรปิด จะจริงไม่จริงเราไม่รู้ แต่สิ่งที่เราเห็นว่าความพยายามที่จะปกปิดกล้องวงจรปิด โดยทั่วไปคดีวิสามัญฆาตกรรมต้องใช้หลักฐานมากมายจำนวนมาก แต่สิ่งหนึ่งที่เราเห็นตอนนี้คือบรรยากาศโดยรวมของเจ้าหน้าที่รัฐเราคิดว่าเป็นบรรยากาศที่เราไม่ไว้วางใจ ให้การดำเนินตคดีทั้งหมดเป็นไปได้อย่างโปร่งใสและเป็นธรรม

ดร.ชยันต์ วรรธนะภูติ ประธานกรรมการหัวหน้าศูนย์ศึกษาชติพันธุ์และการพัฒนา กล่าวเสริมว่า ที่ผ่านไม่ตอบโจษย์คือด่วนสรุปว่าตัวชัยภูมิเกี่ยวข้องกับยาเสพติด เป็นกลุ่มชาติพันธุ์และเกี่ยวข้องกับยาเสพติด โดยที่ยังไม่มีข้อมูล ไม่มีการสอบสวนว่าพฤติกรรมของบุคคลนี้ที่่ผ่านมาเป็นอย่างไร ข้อมูลที่ได้จากผู้เกี่ยวข้องไม่มีที่บ่งชี้ว่าเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้ แม้แต่เงินไม่บัญชีก็ไม่มีมากมายที่จะเกี่ยวข้องกับกระบวนการดังกล่าว