13ชีวิตรอดหวุดหวิด เหตุไฟไหม้โกดังย่านหัวหมาก

13ชีวิตรอดหวุดหวิด เหตุไฟไหม้โกดังย่านหัวหมาก

คาดไฟลัดวงจร เหตุระทึกไฟไหม้โกดังเก็บของเก่า ย่านหัวหมาก เผย13ชีวิตรอดหวุดหวิด

เมื่อเวลา 00.00 น. วันที่ 24 เมษายน ร.ต.อ.ไชยา บัวมาศ รอง สว.(สอบสวน) สน.หัวหมาก รับแจ้งเหตุเพลิงไหม้โกดังเก็บของเก่า และมีผู้ติดค้างภายใน บริเวณซอยพระราม 9 ซอย 59 แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวง กทม. จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบก่อนรุดไปตรวจสอบพร้อม มูลนิธิร่วมกตัญญู เจ้าหน้าที่หน่วยสำนักป้องกันและรถบรรเทาสาธารณภัยพร้อมรถน้ำจำนวน 10 คัน และเจ้าหน้าที่ทหารจากร้อย รส.ที่1 ม.1 รอ. จำนวน 5 นาย

ที่เกิดเหตุอยู่ข้างสนามฟุตบอลหญ้าเทียม เดอะแฮททริค (The hattrick) และ รพ.สมิติเวช ศรีนครินทร์ โดยเป็นโกดังเก็บของเก่า ชื่อเจพาณิชย์ เลขที่ 7734 มีแผ่นสังกะสีทำเป็นรั้วรอบขอบชิด เนื้อที่ประมาณ 500 ตารางวา ซึ่งเป็นโรงเก็บของเก่าแบบเปิดโล่งชั้นเดียว ภายมีวัสดุติดไฟง่ายและไวไฟ อาทิ ขวดพลาสติก กระดาษ ถังแก๊ส ถังแก๊สเชื่อม เป็นต้น เจ้าหน้าที่ร่วมกตัญญูและเจ้าหน้าที่ดับเพลิงช่วยเหลือพร้อมอพยพผู้ติดภายในได้ครบทั้ง 13 คน พร้อมทั้งขนย้ายถังแก๊สและถังแก๊สเชื่อมออกมาจากที่เกิดเหตุ ก่อนเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าจะมาตัดกระแสไฟ จากนั้นเจ้าหนัาที่ดับเพลิงระดมฉีดน้ำรอบทิศทางเพื่อสกัดเพลิงไม่ให้ลุกลามไปยังบ้านเรือนข้างเคียง โดยใช้เวลา 40 นาที เพลิงสงบลง จากการตรวจสอบพบว่าโกดังดังกล่าวถูกไฟไหม้วอดทั้งหลัง

จากการสอบถามนายพีรธัช หงิมจั่น อายุ 51 ปี เจ้าของโกดังเจพาณิชย์ เปิดเผยว่า ขณะนอนหลับบ้านพักซอยหัวหมาก 9 ลูกจ้างได้โทรศัพท์มาหาว่าไฟไหม้โกดัง จึงรีบมาที่เกิดเหตุ และสอบถามทราบว่าขณะลูกจ้างทำงานอยู่นั้น เห็นสะเก็ดไฟช๊อตบริเวณเสาหน้าโกดังที่มีขวดพลาสติกกองอยู่จำนวนมาก จึงพยายามช่วยกันดับ แต่ไฟลุกไหม้รวดเร็วจึงวิ่งมาทางด้านหลังแล้วปีนรั่วกันออกมา โดยมีเจ้าหน้าที่คอยช่วยเหลือ ก่อนจะโทรศัพท์แจ้งตน ทั้งนี้โกดังแห่งนี้เปิดมากว่า 10 ปี เมื่อปี 59 เคยเกิดไฟไหม้แต่เล็กน้อย จนมาครั้งนี้ไฟโหมไหม้ทั้งหลัง ตนมีลูกจ้างอยู่ 7 คน ส่วนใหญ่อยู่กันเป็นครอบครัว ให้พักอาศัยห้องเช่าหน้าโกดัง โดยตนก็ไม่ได้ติดใจอะไร ส่วนมูลค่าความเสียหายตนยังไม่ได้ประเมิน

ด้าน ร.ต.อ.ไชยา กล่าวว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้น คาดว่าสาเหตุเกิดจากกระแสไฟลัดจร เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต อย่างไรก็ตามต้องสอบปากคำผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์และรอเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน (พฐ.) เข้ามาตรวจสอบสาเหตุที่แน่ชัดต่อไป