Daily Market Outlook (20 เม.ย.60)

Daily Market Outlook (20 เม.ย.60)

ระมัดระวัง

คาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวในกรอบแคบวันนี้ แนวโน้มเป็นลบนักลงทุนน่าจะอยู่ในภาวะระมัดระวัง ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศสในวันอาทิตย์ และจากความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลีตลอดจนหุ้นสหรัฐที่ปิดอ่อนแอ ราคาน้ำมันที่ลดลงกดดันหุ้นพลังงาน ปัจจัยบวกเพียงหนึ่งเดียววันนี้ คือ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เดินทางมายังประเทศไทยยังคงขยายตัวต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปี ซึ่งก่อให้เกิดรายได้ที่เพิ่มต่อเนื่องเช่นกัน

หุ้นเด่นวันนี้: SPALI(ราคาปิด 25.25 บาท; ซื้อ; ราคาเป้าหมายของ AWS เท่ากับ 32.00 บาท)

เราเลือก SPALI เป็น pick of the day โดนเรามองเป็น Defensive stock และเหมาะกับภาวะการลงทุนช่วงตลาดผันผวน นอกจากนี้ เราคาดว่าปีนี้ SPALI จะมีกำไรที่สดใส ราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าแท้จริง และอัตราปันผลน่าสนใจ บริษัทรายงานยอด Presales ในไตรมาส 1/60 ดีขึ้น 21% YoY และ 14% QoQเป็น 7,561 ล้านบาท คิดเป็น 28% ของยอด Presales ทั้งปีที่ตั้งเป้าไว้ที่ 27,000 ล้านบาท และคงเป้าหมายรายได้ทั้งปีที่ 24,500 ล้านบาท ในขณะที่มีแผนเปิดโครงการใหม่ในปีนี้มากถึง 29 โครงการ คิดเป็นมูลค่ารวม 37,200 ล้านบาท เป็นโครงการใน กทม.ถึง 79%(แนวราบ 26% คอนโด 53%) และต่างจังหวัดอีก 21% (เน้นแต่แนวราบ) ขณะที่ Backlog ในมือเท่ากับ 36,496 ล้านบาท คิดเป็น Backlog ที่มีจำนวนมากเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการรายอื่น เป็นส่วนที่จะบันทึกเป็นรายได้ในปี 2560 เท่ากับ 13,650 ล้านบาท คิดเป็น 37% ของ Backlog ทั้งหมด เราคาดการณ์กำไรสุทธิเติบโต 14%YoY ในปี 2560 และ 10% YoY ในปี 2561 อัตราปันผลตอบแทนปี 2560-2561 สูงถึง 4.5% และ 4.9% ตามลำดับ ขณะที่ค่า PER ปี 2560 ต่ำเพียง 7.8 เท่า คิดเป็น PEG ที่ 0.56 เท่า ราคาปัจจุบันยังมี upside 26.7% Price Pattern ของ SPALI ยังมีความแข็งแกร่งในแนวโน้มหลักที่เป็นแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) จากการเกิดทั้ง Weekly & Monthly Buy Signal รอเพียงการเกิด Daily Buy Signal ครั้งใหม่เพื่อกลับเข้าสู่แนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) อย่างเต็มตัว โดยจะกลับมาเกิด Daily Buy Signal ครั้งใหม่เมื่อปิดตลาดเหนือ 26.25 บาทเป็นอย่างน้อย เมื่อพิจารณา Price Pattern ของ SPALI ยังคงบ่งบอกว่าจะได้เห็นการทำ New High โดยมีเป้าหมายแรกเพื่อทดสอบ High เดิมที่ 27.50 บาท และมีเป้าหมายแรกของการทำ New High อยู่ที่ 30.75 บาท(Resistance: 25.50, 26.00, 26.50; Support: 24.90, 24.50, 24.00)

ปัจจัยสำคัญ

ประเด็นในประเทศ:

• นักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่ม YoYรมว.การท่องเที่ยวและกีฬาชี้นักท่องเที่ยวต่างประเทศเข้ามาไทย 10.72 รายตั้งแต่ต้นปี เพิ่มขึ้น 1.9% เทียบปีก่อน ขณะที่รายได้ท่องเที่ยวแตะ 5.59 แสน ลบ. เพิ่มขึ้น 4.2% YoYขณะเดียวกันประเทศไทยพร้อมจะเป็นเจ้าภาพจัดงานประชุมใหญ่ประจำปีของสภาการเดินทางและการท่องเที่ยวโลก (WTTC) ในวันที่ 25-27 เม.ย. (Bangkok Post)

• อนุมัติประมูลข้าวเสื่อม 1.62 ล้านตัน คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติเห็นชอบการขายล็อตแรกของข้าวเสื่อมเพื่อประมูลเป็นการทั่วไปมูลค่า 7.92 พัน ลบ. จำนวนที่อนุมัติน้อยกว่าจำนวนข้าวเสื่อม 2.07 ล้านตันที่เสนอโดยผู้ซื้อที่มีคุณสมบัติ 15 ราย (Bangkok Post)

• KCE (ปิด 102.50, ซื้อ, ราคาเป้าหมาย 128 บาท): ราคาทองแดงสามเดือนตลาด LME ร่วง 7.5% จากจุดสูงสุดที่ 6,021 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันวันที่ 14 ก.พ. ปีนี้สู่ 5,572 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันล่าสุด ในช่วงเดียวกันราคาหุ้น KCE เพิ่มขึ้นแค่ 2.5% (Biznews, AWS)ความเห็น: ราคาหุ้น KCE ร่วงลงมามากจากจุดสูงสุด 129 บาท น่าจะมาจากการเพิ่มขึ้นของราคาทองแดงเป็นปัจจัยหลัก ราคาทองแดงเริ่มวิ่งขึ้นตั้งแต่สิ้นเดือน ต.ค. แต่ราคาหุ้น KCE พึ่งเริ่มขึ้นตอนปลาย ธ.ค. เราคาดว่าหุ้น KCE มี laggard ในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน ซึ่งคาดว่าตลาดจะรับรู้ในไม่ช้า ในด้านปัจจัยพื้นฐานของเราเอง ราคาหุ้นล่าสุดก็ยังต่ำและให้อัพไซด์ถึง 25% เหมาะสมสำหรับคำแนะนำซื้อ

• KBANK (ราคาปิด 186.00 บาท; ซื้อ; ราคาเป้าหมายปี 60 ของ AWS 217.00 บาท) รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 1/60 ที่ 1.02 หมื่นล้านบาท ลดลง 0.7% QoQแต่เพิ่มขึ้น 5.4% YoYสาเหตุของการปรับตัวลงเล็กน้อยเมื่อเทียบ QoQมาจากค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองหนี้สูญที่สูงขึ้นถูกหักล้างกับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่ลดลงตามฤดูกาล อย่างไรก็ตาม ระดับการตั้งสำรองฯ ในไตรมาส 1/60 ต่ำกว่าในไตรมาส 1/59 ซึ่งธนาคารได้ทยอยตั้งสำรองไว้ในระดับสูงไว้แล้วตั้งแต่ช่วงต้นปี 59 ขณะที่อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวม (NPL ratio) ลดลงเล็กน้อยอยู่ที่ 3.31% จาก 3.32% ณ สิ้นปี 59 นอกจากนี้ สินเชื่อขยายตัว 0.2% YTD หนุนโดยการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อเกี่ยวเนื่องกับเงินทุนหมุนเวียน เทรดไฟแนนซ์ และสินเชื่อเคหะ (SET) ความเห็น: ผลการดำเนินงานดังกล่าวเป็นไปตามทั้งประมาณการของเราและประมาณการเฉลี่ยบลูมเบิร์ก เรายังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 60 ไว้ที่ 4.14 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.0% YoY

ต่างประเทศ:

• อัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวขึ้นเมื่อวันพุธ ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศสที่จะมาถึงในวันอาทิตย์นี้และการเลือกตั้งของอังกฤษในเดือนมิ.ย. อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 2.211% ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 30 ปีปรับตัวขึ้นเช่นกันที่ระดับ 2.837% โดยอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรทั้งสองได้แตะระดับต่ำสุดนับแต่เดือนพ.ย.เมื่อวันอังคาร (Reuters)

• ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อวันพุธ 1 วันหลังจากที่ร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 3 สัปดาห์เทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ท่ามกลางการปรับอัตราดอกเบี้ยที่มีการคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและความกังวลเกี่ยวกับความสามารถของประธานาธิบดีทรัมป์ว่าจะทำตามที่ได้ให้สัญญาไว้หรือไม่ ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ปิดบวก 0.26% สู่ระดับ 99.757 โดยลดลง สู่ระดับ 99.465 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับแต่วันที่ 28 มี.ค. เมื่อวันอังคาร ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า 0.54% เทียบกับเงินเยนและแข็งค่า 0.17% เทียบกับเงินยูโร (Reuters)

สหรัฐ:

• ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐปิดทั้งบวกและลบเมื่อวันพุธ ดัชนี S&P500 และดัชนีดาวโจนส์ปิดลดลงหลังจากบริษัท IBM ประกาศผลประกอบการที่น่าผิดหวัง อย่างไรก็ตาม ดัชนี Nasdaqปิดบวกจากบริษัท Intuitive Surgical ซึ่งประกาศรายได้และกำไรที่สดใส ส่วนราคาน้ำมันที่ลดลงกดดันหุ้นกลุ่มพลังงาน (Reuters)

• ผลประกอบการไตรมาส 1/60 ที่ผ่านมายังสดใส จาก 57 บริษัทใน S&P500 ที่ได้รายงานประกอบการเข้ามาจนถึงวันพุธช่วงเช้า 75.4% ของบริษัทเหล่านั้นมีกำไรสุทธิสูงกว่าที่คาดไว้ จากข้อมูลของทอมสัน รอยเตอร์ส ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของ 4 ไตรมาสที่ผ่านมาที่ 71% โดยรวมแล้ว กำไรของบริษัทต่าง ๆ ใน S&P500 เป็นที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 10.8% ในไตรมาส 1/60 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับแต่ปี 2554 (Reuters)

• คาดว่าเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เมื่อวันพุธเทรดเดอร์สัญญาซื้อขายล่วงหน้ามองว่ามีโอกาส 49% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมิ.ย. ซึ่งลดลงจากเมื่อวันที่ 6 เม.ย. ซึ่งคาดว่ามีโอกาส 71% จากรายงานของ CME Group’s Fedwatch (Reuters)

ยุโรป:

• หุ้นยุโรปฟื้นตัวในวันพุธ จากการปรับตัวต่ำสุดในรอบวันในรอบ 5 เดือน เนื่องจากหุ้นกลุ่มธนาคารดีดกลับมาและผลการดำเนินงานไตรมาส 1/60 ของบริษัทที่ออกมาดีทำให้บดบังหุ้นพลังงานที่ปรับตัวลง (Reuters)

• นักลงทุนยังกังวลก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศสในรอบแรกในวันอาทิตย์ ถึงแม้ผลโพลสำรวจคะแนนจะออกมาใกล้เคียงกัน แต่ Emmanuel Macron ถูกคาดว่าจะคว้าชัยชนะ (Reuters)

เอเชีย:

• การส่งออกของญี่ปุ่นพุ่งขึ้นในเดือน มี.ค. เป็นการเติบโตที่รวดเร็วที่สุดในรอบกว่า 2 ปีเนื่องจากการจัดส่งชิ้นส่วนและเหล็กกล้าที่เพิ่มขึ้น การส่งออกเพิ่มขึ้น 12.0% YoYในเดือน มี.ค. ซึ่งมากกว่าประมาณการโดยเฉลี่ยที่ขยายตัว 6.7% ต่อปี ดุลการค้าโดยรวมมีการเกินดุล 614.7 พันล้านเยน เทียบกับการคาดการณ์เฉลี่ยที่คาดว่าจะเกินดุลเพียง 575.8 พันล้านเยน (Reuters)

• ธนาคารกลางจีนได้ผ่อนคลายมาตรการลดการไหลออกของเงินทุนเมื่อวันพุธที่ผ่านมา เพื่อเพิ่มค่าเงินหยวน มาตรการผ่อนคลายครั้งแรกมาจากการที่ผู้นำของจีนและตลาดการเงินของจีน รู้สึกมั่นใจว่าแรงกดดันด้านเงินหยวนและทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของประเทศจะลดลง จากการที่เงินดอลลาร์สหรัฐที่พุ่งขึ้น (Reuters)

สินค้าโภคภัณฑ์:

• น้ำมันดิบร่วงสู่จุดต่ำสุดในรอบสองสัปดาห์วันพุธ หลังสต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มผิดคาดและในประเทศสหรัฐผลิตเพิ่ม แต่ก็ถูกหักล้างไปบ้างโดยประเทศผู้ผลิตอื่นที่ตั้งใจร่วมกันลดกำลังการผลิต น้ำมันดิบสหรัฐลบ 1.97 ดอลลาร์สหรัฐ (-3.8%) ปิด 50.44 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล น้ำมันดิบ Brent ลบ 1.96 ดอลลาร์มาอยู่ที่ 52.93 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐร่วง 1 ล้านบาร์เรลสัปดาห์ที่แล้ว น้อยกว่าคาด สต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 1.5 ล้านบาร์เรลสวนฤดูกาล แม้จะมีกิจกรรมการกลั่นอย่างมากก็ตาม ผลผลิตของสหรัฐเพิ่มขึ้นสู่ 9.252 ล้านบาร์เรลต่อวันในสัปดาห์ล่าสุด สูงสุดนับแต่ ส.ค. 58 (Reuters)

• ทองคำร่วงวันพุธ เพราะดอลลาร์และหุ้นปรับบวก แม้มีความตึงเครียดเกาหลีเหนือและความกังวลต่อการเลือกตั้งของฝรั่งเศสและอังกฤษที่หนุนความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย ราคาทองคำตลาดจรร่วงไปแตะ 1,275.73 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ปิดลบ 0.8% ที่ 1,279.54 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ทองคำล่วงหน้าสหรัฐลบ 0.8% ปิด 1,283.40 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ (Reuters)