หนีห่าว AVATAR

หนีห่าว AVATAR

จากภาพยนตร์เรื่องเยี่ยมที่สุดของประวัติศาสตร์ภาพยนตร์แนว Science Fiction สู่การเดินทางเพื่อตามหาฉากอันตราตรึง ไปจนถึงหลายหลายประสบการณ์บนแผ่นดินที่ชื่อว่า “จางเจียเจี้ย”

นับตั้งแต่ภาพยนตร์เรื่อง อวตาร์ (AVATAR) ของ เจมส์ คาเมรอน (James Francis Cameron) เข้าฉายเมื่อปี 2552 ถึงตอนนี้จะเกือบครบทศวรรษแล้ว แต่ความยิ่งใหญ่ทั้งเรื่อง ภาพ และเทคนิคพิเศษสุดล้ำ ก็ทำให้ภาพยนตร์แนวอภิมหาไซไฟ (Science Fiction) เรื่องนี้เป็นที่สุดของหนังในดวงใจคนทั่วโลกไปตลอดกาล

            นอกจากความหัศจรรย์ที่ถูกเนรมิตขึ้นด้วยเทคนิคทางภาพยนตร์ เบื้องหลังความยิ่งใหญ่งดงามของฉากที่เหมือนจะไม่มีอยู่จริงบนโลกนี้ จนหลายคนคิดว่าดาวแพนดอร่า (Pandora) ของชาวนาวี (Na’ vi) เป็นเพียงฉากที่ใช้เทคนิคพิเศษสร้างขึ้นเท่านั้น แต่ความจริงดาวแพนดอร่านั้นมีอยู่จริง บนดาวโลกดวงนี้ ณ เมืองจางเจียเจี้ย ประเทศจีน

            เกือบสิบปีหลังจากอวตาร์และฉากหลังถูกเปิดเผย จางเจียเจี้ย (Zhangjiajie) อันเป็นที่ตั้งของหุบเขาอวตาร์ก็มีผู้มาเยือนจำนวนมหาศาล จากดินแดนเร้นลับเข้าไปถึงยากก็กลายเป็นเสมือนคนของประชาชนที่ใครต่อมิใครก็อยากมาสัมผัสใกล้ชิด โดยเฉพาะแฟนคลับอวตาร์ตัวเอ้

            ...แต่ก็ต้องรอนานขนาดนี้กว่าจะได้ไปกล่าวคำว่า “หนีห่าว AVATAR”

            หลังจากคลื่นวิทยุเปิดเพลงเพราะตลอด 24 ชั่วโมง อย่าง 103 Like fm จัดกิจกรรม Like Trip ครั้งที่ 8 เฟ้นหาแฟนคลื่นผู้โชคดีไปเบิกเนตรกันที่จางเจียเจี้ย นอกจากผู้โชคดีทั้ง 4 คน เรายังได้ติดสอยห้อยตามไปพิสูจน์ว่าที่นั่นจะสวยงามตามภาพยนตร์หรือเปล่า

            ซึ่งงานนี้สายการบินแอร์เอเชียก็อาสาเป็นสารถีขี่เครื่องบินพาลัดฟ้าจากกรุงเทพฯ สู่ เมืองฉางซา (Changsha) เมืองเอกของมณฑลหูหนาน เพื่อต่อรถไปที่เมืองจางเจียเจี้ยอีกราว 5 ชั่วโมง (ระยะทางประมาณ 300 กิโลเมตร แต่รถโดยสารรับจ้างที่นี่จะถูกจำกัดความเร็วไว้ไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) เคยมีคนบอกว่าไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ เพราะฉะนั้นถ้าอยากเห็นของสวยๆ งามๆ ก็ต้องยอมนั่งรถนานชนิดหลับจนหายง่วงกันทีเดียว

            ด้วยความที่ช่วงปลายเดือนมีนาคมถึงเดือนเมษายน ที่ฉางซามาจนถึงจางเจียเจี้ยมีฝนตกบ่อย แม้จะมีวิวข้างทางแต่ก็ใช่ว่าจะมองเห็น ความเบื่อหน่ายอบอวลอยู่ทั่วรถ จึงไม่มีอะไรน่าทำไปกว่านั่งหลับ

            จนกระทั่งฝนนอกหน้าต่างเริ่มจางเม็ด พร้อมกับป้ายบอกทางระบุว่า “Zhangjiajie” แล้วตามด้วยเลขกิโลเมตรที่ไม่ไกลนัก จากความรู้สึกเนือยๆ หน่วงๆ เปลี่ยนเป็นอัตราหัวใจเต้นรัวและแรง มันเป็นผลจากที่ได้รู้ว่ากำลังจะถึงจุดหมายที่รอคอยมาเกือบสิบปีในไม่ช้า

            เป็นความประหลาดใจที่หลายคนอาจรู้แล้ว (แต่เราไม่รู้) เพราะที่พักสุดหรูของทริปนี้คือโรงแรมพูลแมน ทว่าตั้งอยู่ในเขตอุทยานจางเจียเจี้ย ซึ่งเป็นทั้งอุทยานแห่งชาติและมรดกโลกด้วย ที่บอกว่าอยู่ในเขต ไม่ใช่แค่ชายขอบของอุทยาน แต่ประชิดติดทางขึ้นกระเช้าไปยังหุบเขาอวตาร์ แถมรายรอบด้วยแหล่งการค้าทั้งอาหารและสินค้าแบรนด์เนมทั้งเมืองนอกและของจีน

            เมืองจางเจียเจี้ยเป็นอุทยานมรดกโลกตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลหูหนาน เป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกของจีน และได้รับประกาศเป็นมรดกโลกธรรมชาติในปี ค.ศ.1992 ซึ่งตลอดเนื้อที่กว่า 369 ตารางกิโลเมตร คือขุนเขาน้อยใหญ่อุดมด้วยพรรณไม้นานาชนิด

            จากโรงแรมซึ่งอยู่ในพื้นที่อุทยานไปเพียง 5-10 นาที มีภาพเขียน 10 ลี้ (Shili Gallery) คือช่องเขาแคบๆ ด้านล่างของเทียนจื่อซาน แม้จะเรียกว่าภาพเขียน 10 ลี้ แต่จริงๆ แล้วคือช่องเขาที่ถูกบีบด้วยภูเขาและแท่งหินขนาดใหญ่กว่า 200 แท่ง เรียงรายตลอดแนวเขา เมื่อมองไปด้วยดวงตาแล้วพิจารณาด้วยดวงใจจะเห็นเป็นภาพต่างๆ มากมาย ซึ่งยอดเขาหลักๆ ถูกระบุไว้เรียบร้อยแล้วว่าคล้ายภาพอะไร แต่ถ้ามองไม่เหมือนที่เขาว่าก็อย่าเสียใจ เราอาจจินตนาการล้ำเลิศเกินกว่าก็เป็นได้...

            สำหรับการเที่ยวชมภาพเขียน 10 ลี้ มีทั้งนั่งรถรางและเดินชม ในช่วงที่น้ำมากตามแนวเขาจะมีลำธารเล็กๆ ไหลผ่าน เป็นภาพที่ว่ากันว่าสวยราวภาพเขียนโดยไม่ต้องใช้จินตนาการ

มาเมืองแห่งขุนเขาแบบนี้แน่นอนว่าต้องขึ้นที่สูง เพราะ “ยิ่งสูงยิ่งสวย” ถ้าไม่เชื่อให้นั่งกระเช้าขึ้นเขาเทียนจื่อซาน ถึงจะเสียวแต่รับรองว่าสวย และที่นี่เองที่เป็นปลายทางของความฝันนักดูหนังช่าง (เพ้อ) ฝัน ว่าอยากเป็น เจค ซัลลี ที่เปลี่ยนร่างตัวเองเป็นชาวนาวีอย่างในหนัง ขนาดยังไม่ถึงยอดเขา แค่วิวจากกระเช้าก็สวยจนใจละลายออกมาเป็นเหงื่อทั้งที่อากาศก็ค่อนข้างเย็น...หรือเป็นเพราะระดับความสูงกันแน่นะ

            บนเทียนจื่อซาน เมื่อเดินตามไหล่เขาจะเห็นวิวขุนเขาประหลาดตาอยู่ตลอด แม้จะคุ้นตาทว่ายังไม่ใช่ที่สุดของภาพจำจากในหนัง จึงต้องเดินตามหาต่อไป จนเจอสวนสาธารณะจอมพลเฮ่อหลง ซึ่งสร้างเมื่อ ค.ศ.1986 เพื่อเป็นเกียรติแก่นายพลเฮ่อหลงแห่งพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งเป็นคนแถวนี้โดยกำเนิด หากมองจากสวนสาธารณะนี้ก็จะเห็นยอดเขาหินแปลกตาจำนวนมหาศาล หลายลูกมีชื่อ เช่น เขาพู่กัน เขาจักรพรรดิ์ เขาสวนสวรรค์ เขานางฟ้าโปรยดอกไม้ฯลฯ และตรงลานมีอนุสาวรีย์นายพลเฮ่อหลงตระหง่านเคียงข้างเครื่องบินรบสมัยสงครามเกาหลีเหนือและรถถังของนายพลท่านนี้

            เดินต่อไปอีกหน่อยก็ต้องหยุดนิ่ง ไม่ใช่เพราะเหนื่อย แต่เพราะเรามาถึงแล้ว จุดที่อยู่ใกล้เทียนเสี้ยตี้อี้เฉียว หรือสะพานหนึ่งในใต้หล้า จากตรงนี้มองออกไปคือยอดเขารูปร่างประหลาดแต่คุ้นตาเหลือเกิน แน่ละ เพราะนี่คือฉากสำคัญฉากหนึ่งของภาพยนตร์อวตาร์ แม้วันที่ไปจะอากาศปลอดโปร่งจนไม่มีหมอกนิดหน่อยให้พอเป็นมิติ และไม่ลอยเหมือนอย่างในหนัง แต่นี่คืออีกที่สุดความงามซึ่งธรรมชาติสรรสร้างอย่างลงตัวและยิ่งใหญ่ จนต้องบอกว่า “สุด” จริงๆ

ยืนมองภาพไปพร้อมกับเก็บภาพเป็นที่ระลึก พลางคิดเล่นๆ ว่าอาจจะมีโทรุค (Toruk) สัตว์ปีกในตำนานแห่งแพนดอร่าเจ้าของฉายา “เงาสุดท้าย” บินโฉบมาให้ถ่ายรูปสักหน่อย หรือไม่ก็โดนโฉบไปกินนั่นแหละ (ฮา)

            ความเป็นที่สุดยังไม่จบ นอกจากได้นั่งกระเช้าชมวิว เดินชมวิว ยืนชมวิว ต้องลงลิฟท์ชมวิว (หรือจะขึ้นตอนขามาก็ได้) เพราะลิฟท์แก้วไป่หลง คือลิฟท์แก้วแห่งแรกของเอเชียที่สูง 326 เมตร Guinness World Records มอบตำแหน่งให้เป็นลิฟท์แก้วกลางแจ้งที่สูงที่สุดของโลก และเร็วที่สุดของโลก ดังนั้นเมื่อขึ้นหรือลง เตรียมชมวิวให้ไว เพราะแค่อึดใจเดียววิวที่มองจากในลิฟท์แก้วจะจบบริบูรณ์

            ถ้าธรรมชาติอันงดงามเป็นของโปรดของใครแล้วล่ะก็ ที่แกรนด์แคนยอนจางเจียเจี้ยซึ่งห่างจากบริเวณแหล่งที่พักของอุทยานไปราว 40 นาที ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของเมืองจางเจียเจี้ย ทัศนียภาพสองข้างทางจะทำให้คุณหลงรัก และอยากใช้เวลากับที่นี่นานๆ หลังจากนั้นขึ้นเสียวไส้ท้าความสูงกันอีกที่สะพานแก้วที่ยาวและสูงที่สุดของโลก ซึ่งทำลายสถิติเดิมของสะพานแกรนด์แคนยอนที่อเมริกาซึ่งสูงเพียง 718 ฟุต แต่ของที่นี่สูงถึง 980 ฟุต และยาวกว่า 400 เมตร เชื่อมสองหน้าผาเข้าด้วยกัน

            แต่ก่อนจะเข้าไปเดินหวาดเสียวบนสะพานต้องสวมถุงผ้าทับรองเท้าก่อน เพื่อป้องกันรองเท้าที่จะไปทำให้เกิดร่องรอยบนผิวกระจก และห้ามนำกล้องเข้าไปถ่ายภาพนอกจากพวกแอคชั่นแคม (action-camera) หรือโทรศัพท์มือถือเท่านั้น ณ ที่นี้จึงได้ภาพตามมีตามเกิด แต่ก็สวยงามเพราะวิวสวยจริง

            กลับลงมาแล้วยังไม่หนำใจ ให้ขึ้นไปเร่งอะดรีนาลีนอีกครั้งบนเขาเทียนเหมินซาน ซึ่งใช้เวลาเดินทางไปประมาณ 1 ชั่วโมง ด้วยความที่ที่นี่ต้องขึ้นกระเช้าทั้งสูง ทั้งชัน และนานมาก คนรักความสูงน่าจะชื่นชม แต่สำหรับคนกลัวความสูงอาจต้องคิดหนัก แต่แนะนำว่าให้เลิกคิดแล้วขึ้นไปเลย ฝืนใจ 40 นาที บนความยาว 7.5 กิโลเมตร!

            บนนั้นจะได้พบกับต้นไม้ตามซอกหิน หลากหลายพันธุ์ ดอกไม้ป่าตามฤดูกาล ทิวเขาสลับซับซ้อนสวยงาม และถือเป็นสีสันของเทียนเหมินซานคือระเบียงแก้ว เป็นทางเดินทำจากกระจกใส ระยะทางประมาณ 60 เมตรเท่านั้น แต่ทำให้หัวใจคนกลัวต้องตุ๊มๆ ต่อมๆ กันเป็นแถว ถึงระยะทางจะสั้นกว่าสะพานแก้วหลายเท่าตัว แต่ด้วยความที่เป็นระเบียงแคบ แถมมีไหล่ทางแบบไม่ใช่กระจกเพียงน้อยนิด บางคนแทบจะฝังตัวเข้าไปในแนวหน้าผาเพื่อเดินผ่านไปให้ได้

            จากนั้นเปลี่ยนบรรยากาศนั่งรถท้องถิ่นผ่านโค้ง 99 โค้ง คดเคี้ยวลงจากเขาแบบแตะเบรกน้อยมาก ชวนนึกถึงวิดีโอโปรโมทที่เครื่องดื่มชูกำลังรายใหญ่จัดให้นักแข่งรถดริฟท์มาดริฟท์รถลงจากเขาลูกนี้ ทุกโค้งจึงมีความหมาย เป็นความหมายของชีวิต

            เมื่อเก็บครบทุกโค้ง ก็ถึงถ้ำเทียนเหมินต้ง หรือ ถ้ำประตูสวรรค์เทียนเหมินซาน เกิดจากจากการระเบิดเองตามธรรมชาติจนกลายเป็นถ้ำ ประตูนี้สูง 131.5 เมตร กว้าง 57 เมตร และลึก 60 เมตร ช่วงปกติจะมีบันได 999 ขั้นให้เดินขึ้นสู่ประตูสวรรค์ แต่ช่วงนี้ปิดปรับปรุง เพื่อสร้างบันไดให้ได้มาตรฐาน จึงเห็นแต่ช่างนั่งทำบันไดอยู่ตลอดทาง

            ขึ้นเขาก็หลายเขา แต่ยังไม่ได้ลอดถ้ำที่ขึ้นชื่อของจางเจียเจี้ยก็นับว่ามาไม่ถึง เพราะที่ถ้ำหวงหลงต้ง หรือ ถ้ำวังมังกรเหลือง ซึ่งห่างจากโซนอุทยานประมาณ 1 ชั่วโมง เป็นอีกที่ที่ธรรมชาติเนรมิตไว้อย่างน่ามหัศจรรย์ ถ้ำแห่งนี้สูง 160 เมตร ลึก 1.5 กิโลเมตร แบ่งออกเป็น 4 ชั้น ภายในถ้ำมีอ่างเก็บน้ำ 1 แห่ง มีลำธารใต้ดิน 2 สาย มีบึง 4 บึง มีห้องโถง 13 ห้อง และระเบียงเดินเที่ยวได้กว่า 90 แห่ง เกือบทุกจุดประดับไฟสีต่างๆ สอดไปยังหินงอกหินย้อยเพื่อให้เกิดมิติและสวยงาม คล้ายในหนังจีนกำลังภายใน

            เดินชมถ้ำต่างๆ เช่น ถ้ำวังมังกร วังแก้วผลึก วังซือหงอคง ลอดประตูอายุยืนและประตูแห่งความสุข ฯลฯ หรือจะนั่งเรือล่องไปตามลำธารน้ำใต้ดินก็ได้อีกอารมณ์หนึ่ง แต่ทั้งหมดให้ความรู้สึกเดียวกันคืองดงามตระการตา

            จากจุดหมายในฝันที่เคยเห็นในภาพยนตร์สุดยิ่งใหญ่ จนมาได้เห็นความใหญ่ยิ่ง แถมเสริมทัพด้วยความงดงามของธรรมชาติแบบครบถ้วนกระบวนจางเจียเจี้ย ชวนให้นึกกลับไปถึงภาพยนตร์เรื่องอวตาร์อีกครั้ง เพราะเนื้อหาหลักว่าด้วยการเข้าไปรุกรานดาวอื่นเพื่อกอบโกยทรัพยากรอันอุดมสมบูรณ์ เพราะโลกกำลังสิ้นไร้ทรัพยากร แต่ในความจริง บนดาวโลกดวงนี้มีสิ่งที่ในหนังกล่าวถึงแบบไม่ต้องไปบุกดาวแพนดอร่าให้ชาวนาวีช้ำใจ

            แค่รักษาของดีนี้ไว้ให้แพนดอร่าบนโลกจริงยังอยู่ให้เราได้ทักทายตลอดไปก็แล้วกัน