Daily Market Outlook (10 เม.ย.60)

Daily Market Outlook (10 เม.ย.60)

ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์การเมือง

คาดหุ้นไทยวันนี้ซื้อขายในกรอบแคบบนความเสี่ยงต่อความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์การเมือง โดยล่าสุดสหรัฐฯ กำลังแสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ที่จะจัดการเกาหลีเหนือในเชิงของการทหารหลังจากที่เปิดฉากถล่มซีเรียไปก่อนหน้านี้ ทั้งนี้ประเด็นความกังวลดังกล่าวนับว่าสวนทางกับแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่เริ่มฟื้นตัวเป็นบวกมากขึ้น ตัวเลขการจ้างงานสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่งแม้ว่าการจ้างงานนอกภาคการเกษตรจะออกมาน่าผิดหวังก็ตาม แต่อัตราการว่างงานพบว่าลดลงต่อเนื่อง ขณะที่ประธาน Fed สาขา New York ยืนยันแผนการตัดลดขนาดงบดุลลง ในส่วนของปัจจัยภายในประเทศวันนี้มีทั้งบวกและลบ โดยความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือน มี.ค. แตะระดับสูงสุดในรอบ 2 ปี แต่นโยบายของ Trump อาจกระทบกับการส่งออกของไทย ในขณะที่แบงค์ชาติยังมองแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะยังคงดำเนินต่อไป

หุ้นเด่นวันนี้: TCAP (ราคาปิด 48.25 บาท; ซื้อ; ราคาเป้าหมายปี 60 ของ AWS 55.00 บาท)

เราคาด บมจ.ทุนธนชาต จะแสดงการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยที่เราคาดกำไรสุทธิในไตรมาส 1/60 จะเติบโต 22.5% YoYอยู่ที่ 1.66 พันล้านบาท หนุนโดยการตั้งสำรองฯ ที่ลดลงและส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิที่เพิ่มขึ้น ถึงแม้ว่าเราคาดกำไรจะลดลง 2.3% QoQแต่อาจจะมีอัพไซด์จากประมาณการของเราเนื่องจากเราคงสมมติฐานสัดส่วนสำรองหนี้สูญต่อสินเชื่ออย่างอนุรักษ์นิยมที่ระดับใกล้เคียงไตรมาส 4/59 ที่ 80bps เราประมาณการสินเชื่อในไตรมาส 1/60 จะลดลง 1.5% QoQและ 2.7% YoYอย่างไรก็ตาม เราคาดว่าสินเชื่อของ TCAP ปีนี้จะกลับมาเติบโต 5% หลังจากหดตัวมา 3 ปีติดต่อกัน นั่นเป็นเพราะว่าสินเชื่อเช่าซื้อน่าจะเริ่มหดตัวน้อยลงและสามารถทรงตัวได้หลังจากสิ้นสุดระยะเวลาห้ามโอนรถในโครงการรถยนต์คันแรก นอกจากนี้ สินเชื่อในกลุ่มอื่น ๆ ได้แก่สินเชื่อองค์กรขนาดใหญ่ สินเชื่อเอสเอ็มอี และสินเชื่อรายย่อยอื่น ๆ คาดว่าจะเห็นการเติบโตเช่นกัน หนุนโดยเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวในวงกว้างและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของรัฐ เรายังชอบ TCAP ตรงที่ธนาคารมีสินทรัพย์ที่แข็งแกร่ง อันเห็นได้จากการที่สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของธนาคารลดลงติดต่อกันมา 10 ไตรมาสแล้วอยู่ที่ 2.4% ในไตรมาส 4/59 ขณะที่อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage ratio) อยู่สูงถึง 146.8% นอกเหนือจากนั้น ธนาคารไม่น่าจะมีแรงกดดันอีกแล้วหลังจากที่ธนาคารโนวาสโกเทียตัดสินใจที่จะถือหุ้นธนาคารธนชาตต่อไป ในแง่ของการประเมินมูลค่า หุ้น TCAP น่าสนใจมากเนื่องจากปัจจุบันซื้อขายกันที่อัตราส่วนราคาหุ้นต่อมูลค่าทางบัญชีที่ถูกที่ 0.9 เท่าและมีอัตราเงินปันผลตอบแทนที่เหมาะสมที่ 4.6% เราคาดการณ์กำไรสุทธิจะเติบโต 10.9% ในปี 60 และ 5.9% ในปี 61 Price Pattern ของ TCAP มีแนวโน้มหลักอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) จากการเกิดทั้ง Weekly & Monthly Buy Signal รอเพียงการกลับมาเกิด Daily Buy Signal ครั้งใหม่ก็จะทำให้ Price Pattern ของ TCAP กลับเข้าสู่แนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) อย่างเต็มตัว โดย Price Pattern ของ TCAP จะกลับมาเกิด Daily Buy Signal ครั้งใหม่ได้ก็ต่อเมื่อสามารถปิดตลาดเหนือ 48.75 บาท ทั้งนี้เมื่อพิจารณา Price Pattern ของ TCAP ที่สามารถ Break เป้าหมายแรกที่ 40.25 บาทไปได้แล้ว จึงมีเป้าหมายเบื้องต้นอยู่ที่ 63.75 บาท (Resistance: 48.50, 48.75, 49.00; Support: 48.00, 47.75, 47.50)

ปัจจัยสำคัญ

ประเด็นในประเทศ:

• ความเชื่อมั่นผู้บริโภคแตะจุดสูงสุดรอบสองปี มี.ค. ม.หอการค้าไทยรายงานตัวเลขความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน มี.ค. บวก 76.8 จุด เพิ่มจาก 75.8 จุดใน ก.พ. เป็นการเพิ่มขึ้นเดือนที่สี่ติดต่อกันและสูงสุดในรอบสองปี เพราะการส่งออก การท่องเที่ยวและราคาโภคภัณฑ์ที่ดีขึ้น (Bangkok Post)ความเห็น: เราคาดว่าตัวเลขน่าจะดีขึ้นต่อตามเศรษฐกิจที่ดีขึ้น

• นโยบาย Trump น่าจะกระทบการส่งออกไทยเล็กน้อย หลังการประชุมล่าสุดกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน รองนายกฯ คาดการส่งออกโดยทั่วไปของประเทศน่าจะได้รับผลกระทบบ้างจากการที่สหรัฐเตรียมออกมาตรการลดการขาดดุลการค้า ไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐเทียบกับประเทศอื่น ขณะที่การส่งออกของไทยไปยังสหรัฐคิดเป็นเพียง 10% ของยอดส่งออกรวม ไทยเกินดุลสหรัฐอยู่ 1.9 หมื่น ลบ. ปีที่แล้ว เป็นอันดับที่ 11 จาก 15 ประเทศ ข้อมูลจาก US Census Bureau จีนเกินดุลสูงสุดเท่ากับ 3.47 แสน ลบ. (Bangkok Post)

• อสังหาริมทรัพย์ แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังเปิดเผยว่าคลังอยู่ระหว่างการพิจารณาออกมาตรการภาคอสังหาริมทรพัย์รอบสอง เนื่องจากเห็นว่ากำลังซื้อยังไม่ฟื้นตัว โดยอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะออกมาในรูปแบบใดและช่วงเวลาที่เหมาะสมที่จะออกมาตรการ มาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ที่ดำเนินการไปในคราวก่อนช่วง ต.ค.58-เม.ย.59 ส่งผลบวกต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างมาก โดยเฉพาะช่วง 4 เดือนแรกของปี 2559 มียอดโอนเพิ่มขึ้น 57 % YoYอาคารชุดมียอดโอนเพิ่มขึ้น 147% YoY และแนวราบโอนกรรมสิทธิ์เพิ่ม 8% (ข่าวหุ้น) คำแนะนำ: เชื่อว่ากลุ่มคอนโดฯ จะได้รับประโยชน์จากเรื่องนี้เพิ่มมากที่สุด แม้ว่า LPN จะเป็นผู้ประกอบธุรกิจคอนโดฯ มากที่สุด และเน้นไปในระดับกลาง-ล่าง เราเห็นว่า Backlog ยังไม่มากพอจะรองรับการเติบโตในอนาคต และระดับล่างยังมีปัญหา Reject Rate จากผู้ให้กู้สูง แต่ผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจทั้งคอนโดและแนวราบในระดับกลางขึ้นไป เช่น SPALI ANAN SIRI AP น่าจะได้ประโยชน์มากกว่าจากเรื่องดังกล่าว เรายังแนะนำ SPALI (ปิด Bt25.00;ซื้อ;เป้าหมาย Bt32.00) และ ANAN (ปิด Bt4.88;ซื้อ;เป้าหมาย Bt7.50) เป็น Top Pick

ต่างประเทศ:

• การเผชิญหน้าเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ สื่อรัฐของจีนสนับสนุนการประชุมระหว่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐกับนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีนว่าเป็นหนึ่งในการประชุมที่แสดงให้โลกเห็นว่าการเผชิญหน้าระหว่าง 2 ชาติมหาอำนาจเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ทรัมป์เรียกร้องให้นายสี จิ้นผิงช่วยระงับโครงการอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือและช่วยลดช่องว่างการขาดดุลทางการค้าของสหรัฐกับจีน แม้ว่าทรัมป์จะเคยรณรงค์ต่อต้านจีนในช่วงที่หาเสียงเลือกตั้งก็ตาม ประธานาธิบดีจีนเห็นพ้องที่จะร่วมมือกับสหรัฐเพื่อลดความขัดแย้งและหาจุดยืนร่วมกัน นายวิลเบอร์ รอสส์ รมต.กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเผยว่าผู้นำของทั้ง 2 ประเทศได้เห็นพ้องกันที่จะมีแผนเจรจาทางการค้าฉบับใหม่ ซึ่งมีระยะเวลา 100 วัน (Reuters)

• ความไม่แน่นอนทางด้านการเมืองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น เลขาธิการแห่งรัฐ Rex Tillersonกล่าวว่าการโจมตีของสหรัฐที่ต่อต้านซีเรียในการใช้อาวุธทางเคมีนับเป็นสัญญาณการเตือนกับชาติอื่นๆ รวมถึงเกาหลีเหนือ ในระหว่างที่ กลุ่มรัสเซีย อิหร่าน และกองทัพที่สนับสนุนประธานาธิบดีซีเรีย Bashar al-Assad กล่าวว่าการโจมตีของสหรัฐได้ล้ำเส้น และพวกเขาอาจโต้ตอบโดยการเพิ่มการสนับสนุนกับพันธมิตรมากขึ้น (Reuters)

• อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอ้างอิงสหรัฐปรับตัวขึ้นเมื่อวันศุกร์ จากตัวเลขการจ้างงานสหรัฐเพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่คาด หลังจากที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของเฟดรายหนึ่งให้ความเห็นซึ่งทำให้ตลาดคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดเม็ดเงินที่ใช้กระตุ้นเศรษฐกิจโดยลดขนาดงบดุลบัญชีของเฟด อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 30 ปี แตะระดับสูงสุดในรอบวันที่ 3.009% หลังจากที่แตะระดับ 2.939% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับแต่กลางเดือนม.ค. ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 5 ปีแตะระดับ 1.921% หลังจากที่แตะระดับ 1.784% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับแต่เดือนพ.ย. 59 (Reuters)

• ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่ามากที่สุดในรอบ 3 สัปดาห์เมื่อวันศุกร์หลังจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเฟดรายหนึ่งเผยว่าแผนที่เฟดจะปรับลดพอร์ตการถือครองพันธบัตรในปีนี้อาจไม่ทำให้วงจรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยล่าช้าออกไป ดัชนีค่าเงินดอลลาร์เพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์% อยู่ที่ระดับ 101.26 และล่าสุดเพิ่มขึ้น 0.5% ที่ระดับ 101.16 (Reuters)

สหรัฐ:

• ดัชนีตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อวันศุกร์ หลังจากนักลงทุนได้ซึมซับตัวเลขจ้างงานสหรัฐที่เพิ่มน้อยเกินคาด การโจมตีทางอากาศของสหรัฐในซีเรียและความเห็นจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงรายหนึ่งของเฟดเกี่ยวกับการลดขนาดงบดุลของธนาคารกลางสหรัฐ อีกทั้งนักลงทุนมีความไม่มั่นใจมากขึ้นว่าข้อเสนอเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของทรัมป์จะสามารถทำให้เกิดเป็นรูปธรรมได้หรือไม่ (Reuters)

• ดัดลีย์ให้ความเห็นหนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย นายวิลเลียม ดัดลีย์ ประธานเฟดสาขานิวยอร์กเผยว่าเฟดอาจหลีกเลี่ยงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเวลาเดียวกับที่เฟดจะเริ่มลดขนาดพอร์ตพันธบัตรของเฟดมูลค่า 4.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะทำให้เกิดการหยุดชะงักเพียงชั่วคราวต่อแผนของเฟดในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย (Reuters)

• การเติบโตของการจ้างงานในสหรัฐลดลงมากในเดือนมี.ค. แต่อัตราการว่างงานลดลงใกล้ระดับต่ำสุดในรอบ 10 ปี สู่ระดับ 4.5% แสดงถึงตลาดแรงงานมีความแข็งแกร่ง ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นเพียง 98,000 ตำแหน่งในเดือนมี.ค. ซึ่งน้อยที่สุดนับแต่เดือนพ.ค. การเพิ่มขึ้นของการจ้างงานซึ่งสูงกว่าที่ระดับ 200,000 ตำแหน่งในเดือนม.ค. และก.พ. ได้รับผลกระทบจากภาวะชะลอตัวของการจ้างงานในไซต์งานก่อสร้างเนื่องจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นและมีพายุถล่มในแถบตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐ นักวิเคราะห์ได้คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่าตัวเลขการจ้างงานดังกล่าวจะเพิ่มขึ้น 180,000 ตำแหน่งในเดือนมี.ค. และอัตราการว่างงานคาดว่าจะยืนอยู่ที่ระดับ 4.7% (Reuters)



ยุโรป:

• ตลาดหุ้นยุโรปเมื่อวันศุกร์ปรับตัวสูงขึ้นจากจุดต่ำสุดหนุนจากตัวเลขเงินเฟ้อยูโรโซนที่ขยายตัวสูงขึ้น (Reuters)

• ดัชนีราคา (เงินเฟ้อ) ในยูโรโซนเดือนธ.ค. ขยายตัวมากกว่า 1% เป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปีครึ่ง แม้ว่าจะมาจากเสถียรภาพของราคาน้ำมันก็ตาม โดยดัชนีราคาในเยอรมนีขยายตัวมากที่สุดที่ 1.7% ทั้งนี้เป้าเงินเฟ้อของ ECB อยู่ที่ระดับ 2%(Reuters)

เอเชีย:

• ความตึงเครียดทางภูมิศาสตร์ในเอเชียอยู่ในความสนใจหลังจากที่สหรัฐฯตัดสินใจเคลื่อนทัพเรือเข้าไปในคาบสมุทรเกาหลีตามพฤติกรรมการยั่วยุจากเกาหลีเหนือ ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ กล่าวในวันอาทิตย์ว่าการเคลื่อนพลครั้งนี้เป็นขั้นตอนที่ "รอบคอบ"(Reuters)

• ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของจีนอยู่ที่ระดับสูงกว่า 3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในเดือนมีนาคม ขณะนี้ค่าเงินเหรียญสหรัฐฯ หยุดการแข็งค่าขึ้นชั่วคราว จากการพยายามช่วยเหลือเรื่องเงินทุนไหลออก ทุนเงินสำรองของจีนเพิ่มขึ้น 3.96 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในเดือนมีนาคมน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ สู่ระดับ 3.009 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับ 3.005 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ในเดือน ก.พ. ขณะที่เมื่อเดือน ม.ค.ปริมาณสำรองลดลงต่ำกว่า 3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปี แต่ในเดือน ก.พ. เราจะกลับเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 8 เดือน (Reuters)

• การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดของญี่ปุ่นในเดือนกุมภาพันธ์อยู่ที่ 2.81 พันล้านเยน (25.26 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ) ซึ่งเป็นการเกินดุลที่ใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2559 เป็นการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดที่พุ่งขึ้นเป็นเดือนที่ 32และดีกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดไว้ว่าจะเกินดุล 2.62 พันล้านเยน การเกินดุลการค้าส่งผลให้ยอดการค้าเพิ่มขึ้นเนื่องจากการส่งออกดีขึ้น (Reuters)

สินค้าโภคภัณฑ์:

• น้ำมันดิบบวกวันศุกร์ ซื้อขายใกล้ระดับสูงสุดรอบหนึ่งเดือนและรายสัปดาห์บวก 3% หลังสหรัฐยิงขีปนาวุธไปที่ฐานทัพอากาศรัฐบาลซีเรีย เพิ่มความกังวลว่าความขัดแย้งอาจจะขยายไปภูมิภาคผู้ผลิตน้ำมัน ตลาดไม่ได้สนใจตัวเลขสหรัฐเพิ่มแท่นขุดเจาะน้ำมันเป็นสัปดาห์ที่ 12 ติดต่อกันเพื่อเก็บเกี่ยวจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น โดย Baker Hughes ระบุว่าเพิ่มอีก 10 แท่น น้ำมันดิบ Brent ส่งมอบ มิ.ย. บวก 35 เซนต์ต่อบาร์เรล (+0.64%) ปิด 55.24 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล รายสัปดาห์แล้ว Brent บวก 4.4% น้ำมันดิบสหรัฐบวก 54 เซนต์ (+1.0%) ปิด 52.24 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล (Reuters)

• ทองคำแตะจุดสูงสุดรอบ 5 เดือนวันศุกร์ จากตัวเลขการจ้างงานสหรัฐที่ต่ำกว่าคาดแต่ก็บวกลดไปเกือบหมดจากการดอลลาร์ที่แข็งค่าเพราะและความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยจำกัด ราคาทองคำตลาดจรบวก 0.2% ปิด 1,253.71 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หลังแตะจุดสูงสุดนับแต่ 10 พ.ย. ที่ 1,270.46 ดอลลาร์สหรัฐ ราคาทองคำตลาดจรบวก 0.3% ปิด 1,257.30 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ (Reuters)