“แอคทีฟแพ็คเกจจิ้ง” ยืดอายุลูกมะนาวสดนาน 3 เดือน

“แอคทีฟแพ็คเกจจิ้ง” ยืดอายุลูกมะนาวสดนาน 3 เดือน

คณะวิทยาศาสตร์ฯ ม.ธรรมศาสตร์ พัฒนาแอคทีฟแพ็คเกจจิ้ง (Active Packaging) นวัตกรรมยืดอายุผลิตผลมะนาว คงรสชาติเปรี้ยวเข็ดฟัน และสีเขียวสดอยู่ได้นานสุดถึง 3 เดือน ต้นทุนต่ำเฉลี่ย 30 สตางค์ต่อลูก ช่องทางใหม่ขายผลผลิตนอกฤดู แทนการบังคับต้นทำมะนาวนอกฤดู

รศ.วรภัทร ลัคนทินวงศ์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาเทคโนโลยีการเกษตร คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มธ. กล่าวว่า “มะนาว” นับเป็นหนึ่งในพืชเศรษฐกิจที่เกษตรกรให้ความสนใจเป็นจำนวน และสามารถสร้างรายได้เข้าประเทศได้อย่างมหาศาล โดยจากข้อมูลขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (2556) ระบุไว้ว่า ผลผลิตมะนาวในอาเซียนกว่า 91.72 เปอร์เซ็นต์มาจากประเทศไทย และในปี 2558 ที่ผ่านมาผลผลิตมะนาวทั่วประเทศมีมากกว่า 150,000 ตัน สร้างรายได้กว่า 9,296 ล้านบาท โดยประเทศที่ต้องการนำเข้ามะนาวมากที่สุดในอาเซียนได้แก่ สิงคโปร์ และมาเลเซีย แต่หนึ่งในปัญหาหลักของเกษตรกรสวนมะนาวคือ การปลูกมะนาวนอกฤดูกาลเพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีราคาดี และสามารถตอบสนองความต้องการผู้บริโภค ซึ่งในปัจจุบันเป็นการใช้วิธีการบังคับต้นทำมะนาวนอกฤดู ด้วยวิธีการอดน้ำต้นมะนาวเป็นเวลา 1 เดือน จากนั้นจึงจะให้ปุ๋ยบำรุงตามปกติ ซึ่งจะส่งผลให้ในฤดูกาลถัดไปต้นมะนาวจะทรุดโทรมและไม่ออกผล อันนำไปสู่การขาดแคลนรายได้จำนวนมาก

หลังจากเล็งเห็นปัญหาดังกล่าว จึงทำให้เกิดแนวคิดในการพัฒนานวัตกรรมเพื่อแก้ปัญหา ช่วยเหลือเกษตรกรให้สามารถมีผลผลิตมะนาวขายได้ในหน้าแล้ง โดยไม่ต้องเสียรายได้ในช่วงที่มะนาวไม่ออกผล และค่าใช้จ่ายในการบำรุง/ฟื้นฟูต้นมะนาวให้กลับมามีสภาพเดิม โดยหลังจากทำการศึกษาวิจัยเป็นระยะเวลาประมาณ 1 ปี จึงได้ผลลัพธ์ออกมาเป็น นวัตกรรมยืดอายุผลมะนาวให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยนวัตกรรมดังกล่าวจะประกอบด้วย 2 ส่วนหลัก คือ สูตรสารกระตุ้นการสร้างคลอโรฟิลล์แบบต้นทุนต่ำ ที่ใช้ฉีดที่ผลมะนาว และจะช่วยยืดอายุผลมะนาวสดได้นานถึง 3 เดือน คงรสชาติเปรี้ยวเข็ดฟัน มีผิวที่สวยสด สมบูรณ์ขึ้น พร้อมแก่การเก็บรักษา โดยที่ไม่ทิ้งสารตกค้าง สามารถส่งออกได้ตามมาตรฐานสากล และอีกส่วนหนึ่งคือ กล่องแอคทีฟแพ็คเกจจิ้ง (Active Packaging) ที่ภายในกล่องพลาสติกทัปเปอร์แวร์จะประกอบด้วยฟิล์มพิเศษ คอยทำหน้าที่ควบคุมการซึมผ่านอากาศเข้าออก

นวัตกรรมดังกล่าวถูกพัฒนาขึ้นเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนมะนาว โดยมีค่าใช้จ่ายที่ต่ำ เนื่องจากตัวสูตรน้ำยาเร่งคลอโรฟิลล์ต้นทุนเฉลี่ยอยู่ที่เพียง 3 สตางค์ต่อมะนาว 1 ลูก ซึ่งโดยปกติแล้วนั้นจะมีราคาอยู่ที่ 50 สตางค์ – 1 บาทต่อมะนาวลูก และสำหรับกล่องแอคทีฟแพ็คเกจจิ้งสามารถหาซื้อได้ในราคา 100 บาท ซึ่งสามารถจุได้ถึง 10 กิโลกรัม ส่วนฟิล์มที่ใช้มีต้นทุนเพียง 50 สตางค์ ซึ่งสามารถใช้ได้นานถึง 3 เดือน ฉะนั้นแล้วนวัตกรรมนี้ใช้ต้นทุนที่ต่ำมาก เฉลี่ยแล้วเพียง 60 สตางค์ ถึง หนึ่งบาท ต่อมะนาว 1 ผล (ประมาณการจาก ค่าสารเคมี ค่ากล่องและค่าไฟฟ้าห้องเย็น) แต่ทำให้สามารถขายมะนาวได้ในราคาดีขึ้น และไม่ต้องเสียโอกาสในการขายผลผลิตจากกรณีการบังคับต้นมะนาวให้ออกนอกฤดูกาลอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม นวัตกรรมดังกล่าวยังไม่มีการขายสูตรในเชิงพาณิชย์ โดยอยู่ในขั้นตอนการวิจัยและพัฒนาเพิ่มเติม เพื่อแก้ปัญหาด้านเปลือกมะนาวยุบ และปัญหาสีผิวเปลี่ยนเมื่อเก็บไว้นาน โดยสำหรับเกษตรกรสวนมะนาวที่สนใจในนวัตกรรมข้างต้น สามารถขอรับคำปรึกษาได้ฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ในขณะเดียวกันนี้ ได้ทำการเร่งศึกษาวิจัยและทดลองพัฒนาสารละลายวิตามิน เพื่อใช้ควบคู่กับกล่องแอคทีฟแพ็คเกจจิ้ง ใช้ในการยืดอายุผลผลิตลิ้นจี่ให้อยู่ได้นานขึ้น 3 เท่า โดยกำลังจะเริ่มทดสอบกับพื้นที่จริงในอำเภออัมพวา และพื้นที่ในจังหวัดลำพูน ตามลำดับ และอีกหนึ่งนวัตกรรมคือการประยุกต์ใช้นวัตกรรมเพื่อยืดอายุเงาะให้อยู่ได้สูงสุด 45 วัน โดยมีแผนจะลงไปทดสอบในพื้นที่จริงที่จังหวัดจันทบุรีเร็วๆ นี้ รศ.วรภัทร กล่าวทิ้งท้าย

สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สาขาเทคโนโลยีการเกษตร คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มธ. หมายเลขโทรศัพท์ 0-2564-4491 หรือติดต่อฝ่ายประชาสัมพันธ์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มธ. หมายเลขโทรศัพท์ 02-564- 4440-59 ต่อ 2010 หรือเข้าไปที่ www.sci.tu.ac.th