‘น้ำมัน-ทองคำ’ พุ่ง

‘น้ำมัน-ทองคำ’ พุ่ง

น้ำมัน-ทองคำ "พุ่ง" บลจ.แนะจับจังหวะลงทุน

นับตั้งแต่ตลาดรับรู้ผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 14-15 มี.ค.2560 ค่าเงินดอลลาร์ก็ “อ่อนค่า” ลงต่อเนื่อง โดยดัชนีดอลลาร์ปรับตัวลดลง จากระดับ 101.5 มาสู่ระดับ 100.2 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่ เฟด ไม่ได้ส่งสัญญาณว่าจะเร่งปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย รวมทั้งไม่มีการพิจารณาผลกระทบจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐ ที่ตลาดต่างคาดหวังว่าจะผลักดันให้เฟดขึ้นดอกเบี้ยได้เร็วและแรง

แม้เงินดอลลาร์จะอ่อนค่าลงต่อเนื่อง แต่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น น้ำมัน ทองคำ ต่างปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง โดยนับจากผลการประชุมเฟดจนถึงปัจจุบัน น้ำมันดิบ Brent ทะยานขึ้นถึง 0.7% แตะระดับ 51.89 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และ ทองคำดีดตัวขึ้นถึง 2% แตะระดับ 1228.95 ดอลลาร์ต่อออนซ์

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ธนาคารทหารไทย มองว่า แม้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์จะปรับตัวสูงขึ้นจากแนวโน้มค่าเงินดอลลาร์ แต่มองว่า เป็นเพียงการปรับตัวสูงขึ้นในระยะสั้น เนื่องจากหากมองในระยะยาวแล้ว ค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มที่จะแข็งค่าขึ้น จากการที่เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวได้ดีต่อเนื่องจนเฟดจะต้องขึ้นดอกเบี้ยได้อีกถึง 2 ครั้งในปีนี้ และขึ้นอย่างน้อย 3 ครั้งในปีหน้า

นอกจากนี้ ราคาน้ำมันก็มีแนวโน้มที่จะแกว่งตัวในระดับ 55-60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เนื่องจากหากราคาน้ำมันยังคงอยู่ในกรอบนี้ จะทำให้ผู้ประกอบการ shale oil/shale gas มีแรงจูงใจที่จะกลับมาดำเนินกิจการต่อ หลังจากต้องยุติการขุดเจาะไป เมื่อครั้งราคาน้ำมันตกต่ำ ซึ่งจะเห็นได้จากการที่ยอดแท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐ (Baker Hughes US rig count) เพิ่มขึ้นจากจุดต่ำสุดที่ 316 แท่น สู่ระดับ 617 แท่น และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มได้อีกในอัตราสัปดาห์ละ 5 แท่น

เนื่องจากราคาน้ำมันเริ่มกลับมาใกล้จุดคุ้มทุนของผู้ประกอบการ และเทคโนโลยีที่ดีขึ้นส่งผลให้ต้นทุนการผลิตลดลง การที่ปริมาณแท่นขุดเจาะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้น ส่งผลให้อาจจะเกิดอุปทานส่วนเกิน แม้ว่าทางฝั่งโอเปคจะมีการลดกำลังการผลิต

แต่สุดท้ายมองว่าจะต้องมีการยกเลิกการลดการผลิตดังกล่าวในอนาคต เพื่อที่โอเปคจะสามารถรักษาส่วนแบ่งการตลาดเอาไว้ได้ และท้ายที่สุดก็จะเกิดภาพเดิมที่มีอุปทานน้ำมันล้นโลกอีกครั้ง

อนึ่ง การเติบโตของอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (Electric Cars) ที่มีแนวโน้มจะเติบโตได้เร็วแบบ S-curve จะสามารถลดความต้องการน้ำมันได้ จะสามารถทำให้เกิดภาพวิกฤติอุปทานน้ำมันล้นโลกได้อีกครั้งในปี 2566 จากการประเมินของบลูเบิร์ก ซึ่งเวลาดังกล่าวอาจจะขยับใกล้เข้ามาเร็วขึ้น ถ้าหากมีการผลิตน้ำมันต่อเนื่อง และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเพิ่มสูงขึ้นเร็ว ส่งผลให้ รถยนต์ไฟฟ้ามีความคุ้มค่าและราคาประหยัด และเป็นที่ต้องการของตลาดมากขึ้น

ส่วนทางด้านราคาทองคำเองนั้น ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจธนาคารทหารไทย มองเป็นสองกรณี คือ ในกรณีแรก ที่เศรษฐกิจสหรัฐสามารถเติบโตแข็งแกร่งต่อเนื่อง ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อทะยานสูงขึ้น จนเฟดจะต้องขึ้นดอกเบี้ยตาม (Reflation) สินทรัพย์ที่ไม่ได้ให้ปันผลจากดอกเบี้ยอย่างทองคำ ก็จะมีความน่าสนใจน้อยกว่าสินทรัพย์อื่น อาทิ หุ้น ส่งผลให้ในระยะยาวราคาทองคำ มีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลง

แต่ถ้าหากเศรษฐกิจสหรัฐกลับขยายตัวลดลงจนหดตัว ในขณะที่เงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น (Stagflation) สินทรัพย์อย่างทองคำจะมีความน่าสนใจมากขึ้น ส่งผลให้ในระยะยาว ราคาทองคำมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น

ขณะที่ถ้ากรณีที่สอง หากรัฐบาลสหรัฐกลับมาสนใจปัญหาค่าเงินดอลลาร์แข็ง จนทำให้อาจจะมีการกลับไปใช้มาตรการลดค่าเงินดอลลาร์ อย่างที่เคยมีการใช้ Plaza Accord ในปี 1985 ราคาทองคำก็จะสามารถกลับมาเป็นขาขึ้นได้ชัดเจนเช่นกัน ซึ่งน่าติดตามว่า การประชุมซัมมิทผู้นำ G20 ในเดือนก.ค.ที่เมือง ฮัมบวร์ค ประเทศเยอรมนี ว่าทางการสหรัฐจะมีการนำเสนอนโยบายดังกล่าวหรือไม่

“วีระ วุฒิคงศิริกูล” รองกรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารสายจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย มองว่า ราคาน้ำมันในปีนี้น่าจะยังทรงตัวในกรอบ 45-55 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แนะจังหวะเข้าลงทุนหุ้นกลุ่มน้ำมันและพลังงานหากราคาน้ำมันปรับตัวลงมา เพื่อรอราคาน้ำมันจะปรับตัวเหนือราคา 50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลขึ้นไป มีโอกาสที่จะกลับมาใหม่เพราะการผลิตรอบใหม่ยังมีไม่มาก จากสถานการณ์ที่อาจมีอุปทานน้ำมันล้นตลาดได้

ทางด้านราคาทองคำประเมินว่าในปีนี้จะอยู่ในระดับ 1,150-1,350 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยทองคำยืนระดับราคาดังกล่าวต่อเนื่องในช่วง 2-3 ปีมาแล้ว ถือว่าเป็นที่ราคาระดับนี้มีเสถียรภาพจากในอดีต 5 ปีที่ผ่านมานักลงทุนยังเจ็บตัวมาแล้ว สำหรับการลงทุนทองคำในปีนี้ หาราคาทองคำปรับลงต่ำใกล้แนวรับ และทยอยขายทำกำไรที่ระดับ 1,250 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แนะลงทุนเฉลี่ยเข้าซื้อได้มีไว้ในพอร์ตลงทุนส่วนตัวสัดส่วนไม่เกิน 5%

นายพจน์ หะริณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ. วรรณ มองว่า ราคาน้ำมันโลกปีนี้ปรับสูงขึ้นอยู่ที่ 52-53 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังโอเปกกำลังปรับลดการผลิต คาดว่าปีนี้ราคาน้ำมันจะปรับเข้าสู่จุดสมดุลมากขึ้นและเคลื่อนไหวในกรอบ 50-65 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จะส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มพลังงานเช่นกัน

สำหรับกลุ่มหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติยังสนใจลงทุนในปีนี้ แน่นอนว่า หุ้นพลังงาน จะเป็นธีมหลักที่จะผลักดันตลาดหุ้นให้เติบโตต่อได้ สะท้อนจากเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้ามาลงทุนในหุ้นที่มีสภาพคล่องสูง บจ. ขนาดใหญ่ ในกลุ่มหุ้นบลูชิพ หรือ SET 50 ส่วนใหญ่เป็น หุ้นกลุ่มพลังงาน สอดรับกับเมื่อกลางเดือน ก.พ.ที่ผ่านมานี้บริษัทได้เสนอขายกองทุนเปิด วรรณ พาวเวอร์ เอ็นเนอร์จี หรือ ONE-POWER มูลค่ากองทุน 1,000 ล้านบาท ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี