(สกู๊ป) ฤา “วินนี่” จะกลับมา?

(สกู๊ป) ฤา “วินนี่” จะกลับมา?

หลังจากสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยแห่งประเทศไทยฯ กำลังอยู่ระหว่างสรรหาหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทยคนใหม่ แทนที่ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ที่ประกาศยุติการทำหน้าที่

     โดยล่าสุดรายชื่อที่สมาคมได้เรียกเขามาพูดคุยนั้นประกอบด้วย โชคทวี พรหมรัตน์ อดีตหัวหน้าผู้ฝึกสอนชุดแชมป์ซีเกมส์ และ วินฟรีด เชเฟอร์ กุนซือมากประสบการณ์ชาวเยอรมนี โดยรายของกุนซือเลือดด๊อยท์ช ถือว่ามีโอกาสกลับมารับงานคุมทีมชาติไทยเป็นคำรบที่ 2 หลังเคยผ่านงานคุมทัพช้างศึกมาแล้วในช่วงปี 2011 - 2013

ผลงานครั้งก่อน

     กุนซือ วัย 67 ปี เข้ามาคุมทีมชาติไทย เมื่อช่วงกลางปี 2011 ต่อจาก ไบรอัน ร็อบสัน ผู้จัดการทีมชาวอังกฤษ ที่อำลาทีมไปแบบกระทันหัน โดยเซ็นสัญญากับสมาคมเป็นเวลา 3 ปี ซึ่งก่อนเข้ามารับงาน “วินนี่” จัดเป็นกุนซือที่ผ่านงานคุมทีมในเวทีระดับโลกมาโชกโชน ทั้ง คาร์ลสรูห์, สตุ๊ตการ์ต ในศึกบุนเดสลีกา ก่อนเป็นที่รู้จักในวงกว้างหลังพาทีมชาติแคเมอรูน ผ่านเข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลก 2002 รวมถึงคว้าแชมป์แอฟริกัน เนชันส์ คัพ 2002 และรองแชมป์ ฟีฟ่า คอนเฟดเดอเรชันส์ คัพ 2003

     เชเฟอร์ ประเดิมคุมทีมนัดแรกอย่างเป็นทางการในศึกฟุตบอลโลก 2014 รอบคัดเลือก รอบ 2 โซนเอเชีย เมื่อกรกฎาคม 2011 ด้วยการเปิดบ้านเอาชนะ ปาเลสไตน์ 1-0 ก่อนที่จะบุกไปเสมอ 2-2 ในเกมที่สอง ส่งผลให้ทีมชาติไทยผ่านเข้าสู่รอบแบ่งกลุ่มรอบที่ 3 ซึ่งไทยทำผลงานไม่ดีนัก แม้จะออกสตาร์ทได้อย่างน่าประทับใจในเกมที่บุกไปแพ้ ออสเตรเลีย 1-2 ชนิดขึ้นนำไปก่อนจาก ธีรศิลป์ แดงดา และเกมไล่ถล่มโอมานในบ้าน 3-0 จากนั้นเสมอซาอุฯ 0-0 แต่ที่เหลือไทย ไม่สามารถเก็บแต้มได้เลย มีเพียง 4 แต้ม จาก 6 นัด ต้องยุติเส้นทางฟุตบอลโลก 2014 เพียงแค่รอบที่ 3 เท่านั้น

     ส่วนในรายการชิงแชมป์อาเซียน วินนี่ พาทีมชาติไทย ทะลุผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ แต่สุดท้ายต้องอกหักทำได้เพียงแค่รองแชมป์หลังพ่าย สิงคโปร์ ด้วยผลรวมสองนัดที่สกอร์ 2-3 ขณะที่ฟุตบอลเอเชียน คัพ 2015 รอบคัดเลือก ได้คุมไป 2 นัด ประเดิมด้วยการแพ้ คูเวต 1-3 และบุกแพ้ เลบานอน 2-5 จากความล้มเหลวที่ผ่านมาทำให้ถูกตั้งคำถามว่าผลงานคุ้มกับค่าจ้างหรือไม่ 

     หลังจากนั้นมีข่าวว่า วินนี่ ที่เหลือสัญญาอีกประมาณ 1 ปี กำลังมีปัญหากับสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในยุคของ วรวีร์ มะกูดี รวมถึงมีปัญหากับนักฟุตบอลทีมชาติไทยบางราย ก่อนที่ฟางเส้นสุดท้ายจะเกิดขึ้น ในกลางปี 2013 หลังการประกาศตัวนักเตะชุดอุ่นเครื่องที่ประเทศจีนของเกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ทั้งที่ควรจะเป็นหน้าที่ของเขา จากนั้นไม่นานสมาคมฟุตบอลก็ได้มีการยกเลิกสัญญากับ วินฟรีด เชเฟอร์ ซึ่งสมาคมฟุตบอล ต้องจ่ายเงินชดเชยในสัญญาที่เหลืออีก 6 เดือนเป็นจำนวนเงิน 9 ล้านบาท ก่อนที่เจ้าตัวจะไปเซ็นสัญญาคุมทีมเมืองทอง ยูไนเต็ด ระยะสั้น 6 เดือน แต่คุมทีมได้เพียงแค่เดือนเดียวก็อำลาไปรับงานกับทีมชาติจาเมกาในเวลาต่อมา

ผลงานล่าสุด

สำหรับการคุมทีมชาติจาเมกาถือว่าสร้างเซอร์ไพรส์ได้พอสมควรเมื่อนำทีมเข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลคอนคาเคฟ โกลด์ คัพ 2015 กับ สหรัฐ เพราะในรายการนี้การชิงชนะเลิศแทบจะเป็นการผูกขาดระหว่าง เม็กซิโก กับ สหรัฐ มาตลอด แต่สุดท้าย จาเมกาก็แพ้ไป 1-3 ส่วนผลงานในฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือกโซนคอนคาเคฟ แข่ง 6 นัด ชนะ 1 เสมอ 1 และแพ้ 4 นัด จบอันดับสุดท้ายของกลุ่ม ก่อนจะปฏิเสธการต่อสัญญาฉบับใหม่เนื่องจากสมาคมฟุตบอลจาเมกาไม่มีงบประมาณสนับสนุนมากพอ

โอกาสคัมแบ็ก

     "วินนี่" ได้รับเสียงชื่นชมจากแฟนบอลชาวไทยมาตลอดเพราะเขาเป็นคนที่คลั่งไคล้ฟุตบอลอย่างมาก ตระเวนชมเกมในสนามเพื่อเฟ้นหาข้อมูลผู้เล่นเพื่อดึงเข้ามาร่วมทีม ใส่ใจกับรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ ตามวิถีโค้ชยุโรป โดย “วินนี่” กล่าวไว้ตอนมาพักร้อนที่ไทยเมื่อสัปดาห์ก่อน ว่า "มันเป็นสไตล์ของผม ในโทรทัศน์ คุณดูได้แค่จอเล็กๆ แต่ในสนามคุณดูได้กว้างกว่า ถ้าคุณจะดูฟอร์มแบ็คซ้าย แล้วบอลไปข้างหน้า มันก็เห็นแค่กองหน้า แต่เราไม่รู้ว่าตอนนั้นแบ็คซ้ายทำอะไรอยู่ สำคัญที่สุดจริงๆ แล้ว คือ นักเตะจะรู้สึกฮึกเหิมว่า เฮ้ย! เอาล่ะ โค้ชทีมชาติของฉัน เข้ามาดูอยู่ในสนามนะ จริงๆ มันไม่ใช่กับเฉพาะนักเตะคนที่ติดทีมชาติอยู่แล้ว แต่รวมถึงทุกๆ คนในสนาม พวกเขาจะรู้สึกภูมิใจ"

     โดยสมัยคุมจาเมกา เขาเป็นคนเรียกตัว เวส มอร์แกน กองหลังเลสเตอร์ ซิตี ที่ตอนนั้นยังไม่เป็นที่รู้จักมากนักมาเล่นให้กับทีม “เรกเก้ บอยส์” โดยเจ้าตัวออกเงินซื้อตั๋วเครื่องบินตามไปดูฟอร์มนักเตะถึงอังกฤษด้วยตัวเอง นอกจากนี้ก็เป็น เชเฟอร์ นี่เองที่เป็นคนดึง ชนาธิป สรงกระสินธ์ ขึ้นมาเล่นทีมชาติชุดใหญ่ครั้งแรกในการลุยศึกคิงส์คัพ เมื่อปี 2012สมัยคุมจาเมกา เขาเป็นคนเรียกตัว เวส มอร์แกน กองหลังเลสเตอร์ ซิตี ที่ตอนนั้นยังไม่เป็นที่รู้จักมากนักมาเล่นให้กับทีม “เรกเก้ บอยส์” โดยเจ้าตัวออกเงินซื้อตั๋วเครื่องบินตามไปดูฟอร์มนักเตะถึงอังกฤษด้วยตัวเอง นอกจากนี้ก็เป็น เชเฟอร์ นี่เองที่เป็นคนดึง ชนาธิป สรงกระสินธ์ ขึ้นมาเล่นทีมชาติชุดใหญ่ครั้งแรกในการลุยศึกคิงส์คัพ เมื่อปี 2012

     นอกจากให้ความสำคัญกับผู้เล่นเป็นรายบุคคลแล้ว กุนซือชาวเยอรมนี ยังได้รับการยอมรับว่าเป็นโค้ชที่มีแนวทางทำทีมชัดเจน ซึ่งทีมส่วนใหญ่ที่คุมทัพจะเน้นไปที่ทีมเล็กๆ และมีศักยภาพในการพัฒนาต่อได้

     แม้ผลงานกับทีมชาติไทยที่ผ่านมาจะล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง แต่ เชเฟอร์ ก็ยังเป็นที่ชื่นชอบของแฟนบอลไทยทั้งจากบุคลิกและแนวทางทำทีม ที่ส่วนใหญ่มองว่าสมาคมฟุตบอลฯในขณะนั้นยังไม่มีความเป็น “มืออาชีพ” มากพอ เชเฟอร์จึงไม่สามารถทำงานและพัฒนาทีมได้เต็มที่

     แต่ปัจจุบัน ศักยภาพตลอดจนการจัดการต่างๆได้เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างมาก จึงน่าสนใจว่าหากกุนซือทีมชาติไทยคนใหม่เป็น วินฟรีด เชเฟอร์ ขึ้นมาจริงๆ เขาจะสามารถพาทัพ “ช้างศึก” ไปถึงดวงดาวอย่างที่แฟนบอลชาวไทยคาดหวังได้หรือไม่?