EGCO - ถือ

EGCO - ถือ

อัพไซด์จำกัด…ปรับคำแนะนำเป็น ถือ

ประเด็นการลงทุน

EGCO เป็นหุ้นที่เราแนะนำซื้อมายาวนาน ซึ่งราคาหุ้นที่ผ่านมาปรับตัวโดดเด่นเมื่อเทียบกับกลุ่ม อย่างไรก็ตามเรามองว่ามูลค่าปัจจุบันได้สะท้อนข่าวดีในระยะสั้นแล้ว (แนวโน้มกำไรปี 2560 ที่เติบโต และสินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นจากการเข้าซื้อโครงการในอินโดนีเซีย) อย่างไรก็ตามเราเชื่อว่าตั้งแต่ในไตรมาส 2/60 เป็นต้นไป ธีมการลงทุนจะเป็นในกลุ่มโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก
(SPP) มากกว่า ดังนั้นเราจึงมองว่ายังไม่จำเป็นต้องรีบเข้าลงทุนหุ้น EGCO เพิ่มในเมื่อภาพแนวโน้มการเติบโตของกำไรระยะยาวยังไม่ชัดเจน ทั้งนี้เรา ได้ปรับคำแนะนำ EGCO จาก “ซื้อ” เป็น “ถือ” โดยให้ราคาเป้าหมายใหม่ที่ 241 บาท/หุ้น (จากเดิม 230 บาท/หุ้น) และเราแนะนำให้ลงทุนหุ้น GPSC แทนเนื่องจากบริษัทจะได้ประโยชน์จาก SPP ธีมสูงสุดเมื่อเทียบกับกลุ่ม

ดีลใหม่ช่วยหนุนกำไร EGCO …

คาดการเข้าซื้อโครงการพลังงานความร้อนใต้พิภพขนาด 420 เมกะวัตต์ จากเชฟร่อนในสัดส่วน 20.07% ที่ประเทศอินโดนีเซียจะเริ่มหนุนกำไรของ EGCO ตั้งแต่ไตรมาส 2/60 อย่างไรก็ตาม เรามองว่าการเข้าซื้อกิจการดังกล่าวจะทำให้กำไรปี 2560 ของบริษัทเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย โดยเราประเมินกำไรจะเพิ่มขึ้นเพียง 705 ล้านบาท (คิดเป็น 7% ของประมาณการกำไรปี 2560 ของเรา) และหนุนราคาหุ้นขึ้น 11.13 บาท/หุ้น คิดเป็นสินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น 4.6% ทั้งนี้เราปรับประมาณการกำไรปี 2560 ขึ้นเป็น 9,865 ล้านบาท จาก 9,650 ล้านบาท เพื่อสะท้อนกำไรเพิ่มขึ้นจากการเข้าซื้อกิจการใหม่ รวมถึงสะท้อนผลกระทบจากการปิดซ่อมบำรุงโรงงาน BLCP ในครึ่งหลังปี 2560 ด้วย (โรงไฟฟ้า IPP ขนาด 1,320 เมกะวัตต์, บริษัทถือครอง 50%)

... แต่ราคาหุ้นได้ปรับตัวขึ้นมาสะท้อนปัจจัยดังกล่าวแล้ว

จากรายงานฉบับล่าสุดของเรา ราคาหุ้น EGCO ได้ปรับขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ ตั้งแต่เข้า IPO แต่ปัจจุบันแม้เราจะคำนวณโครงการพลังงานความร้อนใต้พิภพในประเทศอินโดนีเซียที่บริษัทเข้าซื้อใหม่เข้าไปในมูลค่าบริษัท แต่ราคาหุ้นชี้ว่าอัพไซด์ต่อมีจำกัด ซึ่งตอนนี้ EGCO เทรดที่ forward PEG (PER ต่ออัตราเติบโต)ที่ 1.51 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ 1.11
เท่า ซึ่งหมายถึงว่าตลาดได้รับรู้ข่าวดีนี้แล้ว

กำไรเติบโตดีในปี 2560 แต่แนวโน้มหลังจากนี้ยังไม่ชัดเจน

คาดกำไรปี 2560 ของ EGCO เติบโต 18% แต่เรามองว่าราคาหุ้นได้ปรับสูงขึ้นและสะท้อนปัจจัยกำไรเติบโตแล้ว อีกทั้งการภาพเติบโตหลังจากปี 2560 ยังไม่ชัดเจนหากเทียบกับบริษัทอื่นในกลุ่ม – อัตราเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี (CAGR) ของบริษัทอยู่ที่ 10% ในระหว่างปี 2560-2562 ขณะที่ค่าเฉลี่ยกลุ่มอยู่ที่ 17% (ไม่รวม GLOW ที่มีแนวโน้มกำไรลดลง)
แม้ผู้บริหารจะยังคงมุ่งหากิจการใหม่ในเข้าซื้อ เรามองว่ายังเร็วเกินไปที่จะนำปัจจัยนี้มาคิดในประมาณการ เนื่องจากรายละเอียดด้านประเภทสินทรัพย์ โครงสร้าง PPA และราคาเข้าซื้อกิจการที่ยังไม่เห็นเป็นรูปธรรมในทางกลับกัน อุตสาหกรรมย่อยอื่นในกลุ่ม (โรงงานไฟฟ้า SPP) มีโอกาสเติบโตอย่างชัดเจน ดังนั้น เราจึงแนะนำให้เปลี่ยนมาลงทุนหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP

ทำไมต้องโรงไฟฟ้า SPP?

เรามองว่าโรงไฟฟ้า SPP จะปรับตัวขึ้นแรงกว่ากลุ่มตั้งแต่ไตรมาส 2/60 เป็นต้นไป อัตราค่า FT มีแนวโน้มปรับสูงขึ้น (จะเริ่มปรับในเดือน พ.ค.) 0.15-0.21 บาท/กิโลวัตต์ชม. จะหนุนให้รายได้ โรงไฟฟ้า SPP เติบโตทั้ง QoQ และ YoY อีกทั้งเราคาดแนวโน้มราคาก๊าซที่สูงขึ้นจะหนุนกำไรบริษัทเนื่องจากราคาขายไอน้ำที่อิงกับราคาก๊าซจะเพิ่มขึ้นแต่ต้นทุนปรับขึ้นช้ากว่า เราชอบ GPSC มากที่สุด ในกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP เนื่องจากมีกำลังการผลิตไอน้ำมากที่สุด และเป็นบริษัทที่มีโรงไฟฟ้า SPP ในสัดส่วนที่สูง