ฮอนด้า ซีวิค แฮทช์แบ็ก 1.5 เทอร์โบ...จัดจ้าน เกาะถนน ไว้ใจ

ฮอนด้า ซีวิค แฮทช์แบ็ก 1.5 เทอร์โบ...จัดจ้าน เกาะถนน ไว้ใจ

เป็นการก้าวเข้าสู่ตลาดซีดาน อารมณ์สปอร์ตที่ชัดเจนอีกขั้นของฮอนด้า ที่ส่ง ซีวิค แฮทช์แบ็ก เข้าสู่ตลาด หลังจากที่ผลการศึกษาพบว่าลูกค้าในกลุ่ม ซี-เซ็กเมนต์ ต้องการรถที่ตอบสนองการขับขี่ ให้ความรู้สึกสปอร์ตมากขึ้น

     ฮอนด้าวางตำแหน่ง ซีวิค แฮทช์แบ็ก เป็นตัวรองท็อปของตระกูลซีวิคทั้งหมด โดยรองจากซีวิค อาร์เอส ซีดาน มีค่าตัว 1.169 ล้านบาท แต่ก็ใส่เทคโนโลยี และอุปกรณ์ต่างๆไว้ค่อนข้างครบครันทีเดียว เช่น เครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 6 นิ้ว บลูทูธ ช่องเชื่อมต่อยูเอสบีรองรับการเชื่อมต่อแอปเปิล คาร์เพลย์ พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน ควบคุมระบบเครื่องเสียง รับและวางสายโทรศัพท์ มาตรวัด และหน้าจอแสดงข้อมูลขับขี่แบบทีเอฟที สามารถสลับสับเปลี่ยนข้อมูลและค้นหาตัวอักษาได้ด้วยปุ่มบนพวงมาลัย

     ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์และเปิดแอร์จากรีโมท เบาะนั่งด้านคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง เบาะผู้โดยสารด้านหน้าปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ แยกซ้าย-ขวา

     ส่วนที่เกี่ยวกับความปลอดภัย เช่น กล้องมองหลังปรับมุมมองได้ 3 ระดับ ถุงลมคู่หน้า ถุงลมด้านข้าง และม่านถุงลม รวม 6 ตำแหน่ง เข็มขัดนิรภัย 3 จุด 5 ตำแหน่ง เบรก เอบีเอส ระบบกระจายแรงเบรกอัตโนมัติ ระบบช่วยควบคุมการทรงตัว ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน

     สัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกะทันหัน เบรกมือไฟฟ้า ระบบออโต้เบรกโฮลด์ ซึ่งผมว่ามีประโยชน์ดี เมื่อต้องขับขี่ในสภาพจราจรหนาแน่น หยุดรถบ่อยๆ ทำให้คลายความเมื่อยล้าของเท้าได้ เพราะไม่ต้องเหยียบเบรกตลอดเวลาเมื่อรถจอดนิ่งแล้ว

     มิซูรุ คาริยะ หัวหน้าวิศวกร บอกว่าแฮทช์แบ็กนั้นไปพัฒนาแพลทฟอร์มกันที่ยุโรป ซึ่งเป็นหนึ่งในตลาดเป้าหมาย เพราะหลายประเทศที่นั่น โดยเฉพาะเยอรมนีขับรถกันเร็วมาก ดังนั้นโครงสร้างรถต้องออกแบบรองรับการใช้งานดังกล่าวให้ได้

     ซึ่งก็ถือว่าทำได้ดีครับ เพราะแม้ไม่ใช่ออโต้บาห์น แต่เป็นถนนบายพาส ชะอำ หัวหิน ที่ไม่ค่อยจะเรียบนัก ผมลองขยับความเร็วขึ้นไประดับ 190 รถยังนิ่งน่าพอใจ ส่วนการขับขี่ความเร็วปกติทั่วไป 120-130 สบายๆ ครับ ขับง่ายควบคุมง่าย ไม่เหนื่อย

     การทำความเร็วสูงๆ เป็นการลองแค่ช่วงสั้นๆนะครับ เพื่อดูการตอบสนองของเครื่องยนต์และองค์ประกอบอื่น ซึ่งในด้านเครื่องยนต์ต้องชมเจ้า 1.5 ลิตร เทอร์โบ 173 แรงม้าที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิด 220 นิวตัน-เมตร ที่ 1,700-5,500 รอบ/นาที ที่ทำงานได้ดี เป็นเครื่องยนต์ที่จัดจ้านมากครับ ตอบสนองทุกย่านความเร็ว ไม่ว่าจะเป็นช่วงออกตัว ความเร็วช่วงกลาง หรือความเร็วสูง สามารถเรียกกำลังเพิ่มเพื่อเร่งแซง หรือหนีอุปสรรคต่างๆได้ตลอดเวลา

     ดังนั้นเมื่อเบนหน้ารถออกจากเพชรเกษม เข้าสู่เส้นทางเล็กๆ ตัดทุ่งนา ดงตาล มุ่งหน้าเขื่อนแก่งกระจาน เครื่องยนต์ตัวนี้ช่วยให้การขับขี่ง่ายขึ้นเยอะ เพราะเร่งแซงได้กระฉับกระเฉงมาก ไม่ต้องลุ้น

     เส้นทางนี้ยังมีโค้งเป็นระยะๆ ทำให้ได้ทดสอบเรื่องของช่วงล่างกันด้วย โดยรวมถือว่าทำได้ดี เกาะถนนดี ควบคุมได้ง่าย แม้จะยังมีความนุ่มนวล ไม่ได้ออกไปทางสปอร์ตเต็มตัว ซึ่งคงเป็นไปตามความต้องการของตลาด อาจจะขัดใจขาสปอร์ตจริงจัง แต่ก็ให้ความสนุกในการขับกับเส้นทางแบบนี้ได้ และการที่ระยะโอเวอร์แฮงก์ด้านท้ายที่ลดลง 145 มม. จากรุ่นซีดาน ก็ช่วยให้ทรงตัวของรถดีขึ้นส่วนพวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้าแม่นยำ ช่วยให้ควบคุมได้ง่าย และเช่นกับการขับในทางตรง แม้จะใช้ความเร็วค่อนข้างสูงในถนนเล็กๆ มีโค้งเป็นระยะๆ แต่ไม่รู้สึกเหนื่อยในการขับ

     และในหลายช่วงที่ถนนไม่เรียบ โดยเฉพาะเลนซ้ายของบายบาส ช่วงล่างทำงานได้ดี ดูดซับแรงสั่นสะเทือนได้ดี ทำให้นั่งสบาย นี่เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ผมพูดไปเมื่อสักครู่ว่าแม้จะเป็นรถที่เน้นอารมณ์สปอร์ต แต่ก็ต้องเผื่อช่วงล่างเอาไว้สำหรับรองรับสภาพถนนในบ้านเราเช่นกัน

     ช่วงล่างของซีวิค แฮทช์แบคนั้น ด้านหน้าเป็นแบบแมคเฟอร์สัน สตรัท ด้านหลังมัลติลิงค์

     เกียร์ซีวีทีทำงานได้ดี ช่วยให้การขับขี่ลื่นไหล และมีแพดเดิลชิฟท์ ให้เปลี่ยนเกียร์ด้วยตัวเอง โดยออกแบบไว้เทียบกับ 7 สปีด

     โดยรวม ซีวิค แฮทช์แบค เป็นรถที่ขับสนุก แรงเหลือเฟือ นั่งสบาย เบาะนั่งนุ่ม กระชับ ทัศนวิสัยดี แม้ทัศนวิสัยด้านหลังจะด้อยกว่ารุ่นซีดาน แต่ไม่เป็นปัญหาต่อการขับขี่ส่วนรูปลักษณ์ก็แล้วแต่คนชอบครับ แต่ส่วนตัวผมว่าสวยดี

     ส่วนถ้าใครมีคำถามว่าแต่ทำไมไม่เห็นท่อไอเสียสวยๆ ดุๆ โผล่มาตามแบบที่รถสปอร์ตนิยม หัวหน้าทีมวิศวรบอกว่า แม้จะเป็นสปอร์ต แต่ก็ชูเรื่องของการเป็นรถเพื่อสิ่งแวดล้อมที่กินน้ำมันน้อย ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ 137 กรัม/กม. ดังนั้นจึงซ่อนท่อไอเสียเอาไว้ซะ... ก็เป็นแนวคิดที่น่าสนใจครับ