Daily Market Outlook (28 มี.ค.60)

Daily Market Outlook (28 มี.ค.60)

ชักไม่ค่อยจะแน่ใจนโยบาย Trump จะผ่านสภา

คาดว่าหุ้นไทยจะเคลื่อนไหวในกรอบจำกัดวันนี้จากการที่ความต้องการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงยังคงต่ำอยู่ หลังจากนักลงทุนทั่วโลกสูญเสียความเชื่อมั่นในประธานาธิบดี Trump ว่าจะสามารถออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจได้หลังความพ่ายแพ้ในการผลักดันร่างกฎหมายสาธารณสุข ทั้งๆ ที่พรรคของเขามีเสียงข้างมากในทั้งสองสภา การจะให้ร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีสหรัฐผ่านสภาก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน ล่าสุดทำเนียบขาวตั้งเป้าลงมติกฎหมายดังกล่าวในเดือน ส.ค. ราคาน้ำมันที่ยังร่วงอีกกดดันหุ้นพลังงานต่อ ปัจจัยภายในประเทศ ความคืบหน้าของโครงการรถไฟรางคู่ไม่แย่อย่างที่วิตกก่อนหน้า หลังจากนายกรัฐมนตรีเห็นชอบร่าง ToRซึ่งทำให้เริ่มประมูลได้ในอีก 4-5 เดือน

หุ้นเด่นวันนี้: KKP(ราคาปิด 69.50 บาท; ซื้อ; ราคาเป้าหมายปี 60 ของ AWS 79.00 บาท)

ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) เป็นหุ้นแนะนำในวันนี้ด้วยกลยุทธ์ Dividend play รวมถึงการที่ธนาคารมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง ซึ่งธนาคารได้ประกาศจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังของปี 59 ที่อัตรา 4.00 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราเงินปันผลตอบแทนครึ่งปีที่ 5.8% หรือ 11.5% ต่อปี มีกำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 28 เมษายน 2560 ซึ่งยังมีเวลาเพียงพอสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเก็บสะสม เงินปันผลต่อหุ้นในปี 59 เท่ากับ 6.00 บาท คิดเป็นอัตราเงินปันผลตอบแทนที่ 8.6% นอกเหนือจากอัตราเงินปันผลตอบแทนที่น่าสนใจอย่างมากนี้ ธนาคารยังได้แสดงการเติบโตของสินเชื่อสูงสุดในกลุ่มธนาคารเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ 1.80% MoMและ 1.78% YTD เราคาดว่าการเติบโตของสินเชื่อที่โดดเด่นดังกล่าวเป็นผลมาจากกลยุทธ์ของบริษัทที่จะขยายสินเชื่อไปกลุ่มอื่นๆ นอกเหนือจากกลุ่มเช่าซื้อ เช่น สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อ SME และสินเชื่อ Lombard โดยสำหรับสินเชื่อรายย่อยจะถูกผลักดันผ่านทางช่องทางเดิมหรือสาขาธนาคาร รวมถึงช่องทางใหม่ผ่านทางตัวแทนขายตรง ในปีนี้ KKP มุ่งมั่นที่จะขยายสินเชื่อให้เติบโตมากกว่า 5% ฟื้นตัวจากที่หดตัว 0.7% ในปี 59 เราคาดการณ์กำไรจะเติบโต 6.4% ในปี 60 และ 11.2% ในปี 61 Price Pattern ของ KKP มีความแข็งแกร่งอย่างมากในแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) จากการเกิดทั้ง Daily, Weekly, & Monthly Buy Signal เมื่อพิจารณา Price Pattern ของ KKP มีเป้าหมายถัดไปอยู่ที่ 81 บาท และมีเป้าหมายสำคัญอยู่ที่ 100 บาท ตามลำดับ ทั้งนี้ KKP มีจุด Stop Loss ระยะสั้นอยู่ที่ 68.75 บาท (Resistance: 70.25, 71.00, 71.75; Support: 69.00, 68.25, 67.50)

ปัจจัยสำคัญ

ประเด็นในประเทศ:

• เงินลงทุนไหลเข้าเขตเศรษฐกิจพิเศษ 8.5 พัน ลบ. จนถึงวันที่ 28 ก.พ. มี 40 โครงการมูลค่า 8.5 พัน ลบ. ขอเข้ารับสิทธิประโยชน์จากเขตเศรษฐกิจพิเศษ ส่วนใหญ่เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษที่จังหวัดตากจำนวน 22 โครงการมูลค่าลงทุน 3.5 พัน ลบ. โครงการที่ตากส่วนใหญ่เกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์พลาสติก ชุดชั้นใน ชุดกีฬาและเครื่องจักรทางการเกษตร (Bangkok Post)

• นายกฯ ไฟเขียว TOR รถไฟทางคู่ นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ประธานคณะกรรมการจัดซื้อจัดจ้าง (Superboard) เปิดเผยว่า นายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันท์โอชา เห็นชอบการปรับปรุงสัญญา (TOR) รถไฟทางคู่ 5 เส้นทางแล้ว และได้ส่งรายละเอียดทั้งหมดกลับมาให้ รมว.คมนาคม เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาในเร็วๆ นี้ ซึ่งคาดว่าคณะกรรมการการรถไฟแห่งประเทศไทยจะร่าง TOR ใหม่ได้เร็ว และจะมีการประกวดราคาได้ใน 4-5 เดือน หลังจากผ่านความเห็นจาก ครม. (Bangkok Post)

• ADVANC (178 บาท, ถือ, ราคาเป้าหมายปี 60 188 บาท) ตั้งงบ 2 พัน ลบ. เพื่อยกระดับการบริการ ได้แก่ นวัตกรรม ดังเช่น AISIVR(บริการลัดสาย) ที่จะตอบสนองคำพูดของลูกค้าในโทรศัพท์และลัดเข้าเมนูบริการที่ต้องการ แทนที่จะต้องกดตัวเลขตามบริการโทรศัพท์แบบดั้งเดิม ขณะเดียวกัน บริษัทก็จะไม่ลดจำนวนพนักงานบริการลูกค้าลงแต่จะยิ่งฝึกเพิ่มด้วย เพื่อให้พนักงานเป็นกูรูซึ่งให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์แก่ลูกค้าได้ (The Nation)

• TRC:กท.การคลังจ่ายเช็ค 80 ล้านบาทสำหรับการเพิ่มทุนใน บมจ.อาเซียนโปแตชชัยภูมิ (APOT): หลังจากนี้ APOT เตรียมเซ็นต์สัญญาค่าก่อสร้างกับ TRC มูลค่า 3.4 หมื่นล้านบาท (ข่าวหุ้น)   ความเห็น: การจ่ายเงินของ กท.การคลังช่วยปลดล็อคการเดินหน้าโครงการเหมืองโปแตชชัยภูมิ ทำให้สามารถเดินหน้าต่อในเรื่อง Financial Close ได้ คาดว่าการเซ็นต์สัญญาอย่างเป็นทางการจะเกิดขึ้นในไตรมาส 2/60 และต้องใช้ระยะเวลา 3 ปีสำหรับการก่อสร้าง ทำให้คาดว่ารายได้ต่อปีช่วงปี 2560-2561 ของ TRC จะเท่ากับ 8 พันล้านบาท 1 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ ส่วนกำไรสุทธิปี 2560-2561 คาดไว้ 360 ล้านบาท และ 461 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24%YoYและ 28%YoY ตามลำดับ เราแนะนำซื้อ TRC ราคาเป้าหมาย 2.20 บาท (งานก่อสร้าง 1.69 บาท (15x EV/EBITDA) รวมกับ DCF เหมืองโปแตช 0.51 บาท)

ต่างประเทศ:

• อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐระยะยาวปรับตัวลงเมื่อวันจันทร์ เนื่องจากนักลงทุนมีความไม่มั่นใจมากขึ้นว่ารัฐบาลสหรัฐภายใต้การบริหารของทรัมป์จะสามารถทำตามคำมั่นสัญญาที่เคยให้ไว้ในระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งเกี่ยวกับการกระตุ้นเศรษฐกิจได้หรือไม่ ราคาผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี เพิ่มขึ้น 8/32 อัตราผลตอบแทนอยู่ที่ 2.367% ลดลงจาก 2.4% เมื่อวันศุกร์ โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรร่วงลงสู่ระดับ 2.348% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 1 เดือน (Reuters)

• ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. เทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ เมื่อวันจันทร์เนื่องจากนักลงทุนสูญเสียความเชื่อมั่นเกี่ยวกับแนวโน้มการเพิ่มการใช้จ่ายงบประมาณของประธานาธิบดีทรัมป์ ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ปิดลบ 0.45% โดยก่อนหน้านี้ได้ปรับตัวลงสู่ระดับ 98.858 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดตั้งแต่วันที่ 11 พ.ย. (Reuters)

สหรัฐ:

• ดัชนีตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเล็กน้อยเมื่อวันจันทร์โดยดัชนี S&P50 ร่วงลงและดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลงติดต่อกัน 8 วัน เนื่องจากนักลงทุนประเมินว่าความพ่ายแพ้ของประธานาธิบดีทรัมป์ต่อการผลักดันในการออกกฎหมายฉบับแรกของเขาจะส่งผลต่อเรื่องอื่น ๆ ในวาระที่เหลือหรือไม่ (Reuters)

• ทำเนียบขาวจับตาเดือนส.ค. เป็นเดือนที่จะออกกฎหมายปฏิรูปภาษี เนื่องจากประธานาธิบดีทรัมป์ยังคงแสวงหาชัยชนะในการออกกฎหมายครั้งแรกของเขาหลังจากประสบความล้มเหลวในสัปดาห์ก่อนเกี่ยวกับร่างพรบ. ที่จะนำมาใช้แทนโอบามาแคร์ คำมั่นสัญญาของทรัมป์ที่จะปรับลดภาษี รวมถึงการปรับลดอัตราภาษีนิติบุคคล ซึ่งเป็นประเด็นหลักในการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐเมื่อปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม การผลักดันร่างกฎหมายภาษีให้ผ่านการพิจารณาในสภาคองเกรสไม่ใช่เรื่องง่าย หลังจากความเห็นต่างภายในพรรครีพับลิกันส่งผลให้การออกกฎหมายประกันสุขภาพฉบับใหม่มีอันตกไปในสัปดาห์ก่อน โดยเมื่อวันศุกร์ที่แล้วกลุ่ม Freedom Caucus ซึ่งเป็นสมาชิกพรรครีพับลิกันที่มีแนวคิดอนุรักษ์นิยมสุด ๆ ได้ปฏิเสธที่จะสนับสนุนร่างกฎหมายประกันสุขภาพดังกล่าว (Reuters)

ยุโรป:

• ตลาดหุ้นยุโรปเมื่อวันจันทร์ปรับตัวลดลง นำโดยหุ้นกลุ่มเหมืองแร่และกลุ่มธนาคาร หลังจากร่างกฎหมาย Healthcare ของ Donald Trump ปธน.สหรัฐฯ ไม่ได้รับความเห็นชอบในสภา ส่งผลให้คลาดเริ่มกังวลถึงความสามารถของ Trump ในการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ต่อจากนี้ (Reuters)

• ความเชื่อมั่นภาคธุรกิจเยอรมนีเดือนมี.ค.ปรับตัวสูงกว่าคาดการณ์สะท้อนว่าภาคธุรกิจเยอรมนีไม่ได้กังวลถึงการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ รวมไปถึงสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมืองในยุโรป โดย Ifoซึ่งเป็นสถาบันวิจัยเศรษฐกิจของเยอรมนีเปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจของเยอรมนีเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 112.3 ในเดือนมี.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะอยู่ที่ระดับ 111.0 (สำรวจโดย Reuters) และสูงกว่าตัวเลขเมื่อเดือนก.พ.ที่ระดับ 111.1 ซึ่งเป็นตัวเลขที่ได้รับการทบทวนสูงขึ้น (Reuters)

เอเชีย:

• คณะกรรมการ BOJ กล่าวว่าจะมีนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายให้ช่วงระยะเวลาหนึ่งเนื่องจากการเติบโตของเงินเฟ้อยังห่างไกลจากเป้าหมาย 2% ที่ธนาคารกลางกำหนด ความเห็นจากการประชุม BOJ วันที่ 15-16 มีนาคมมีการประกาศออกมาแล้วในวันจันทร์นี้ สมาชิกปฏิเสธความคิดที่ว่า BOJ จะต้องเพิ่มอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีเพื่อเพิ่มผลตอบแทนพันธบัตรในต่างประเทศแทนที่จะเน้นเฉพาะเศรษฐกิจภายในประเทศเท่านั้น(Reuters)

• ธนาคารกลางจีนกล่าวว่าจะปรับปรุงกรอบนโยบายและโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการใช้สกุลเงินหยวนข้ามพรมแดน PBOC จะผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องของเงินหยวนในบัญชีทุน โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อเพิ่มบทบาทของหยวนในด้านการลงทุน เป็นทุนสำรอง และการทำธุรกรรมทางการเงิน(Reuters)

• กำไรของบริษัทอุตสาหกรรมในจีนขยายตัว 31.5% ในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2560 เป็นอัตราที่เร็วที่สุดในรอบ 6 ปีเนื่องจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ถ่านหินและแร่เหล็กวิ่งขึ้นสูง กำไรอุตสาหกรรมรวม 2 เดือนแรกของปีอยู่ที่ 1.01 พันล้านหยวน (ประมาณ 147 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ) ปริมาณการนำเข้าที่แข็งแกร่งยังแนะนำให้ปรับขึ้นในกิจกรรมทางเศรษฐกิจในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา อัตราการเติบโตของกำไรเพิ่มขึ้นอย่างมากจากการเพิ่มขึ้น 2.3% ในเดือนธันวาคมและเป็นอัตราที่เร็วที่สุดเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เติบโต YTD เร็วสุดนับตั้งแต่ ไตรมาส 1/54ที่เพิ่มขึ้น 32% กำไรจากภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 8.5% ในปี 2560 และกลับมาจากการร่วงเล็กน้อยในปี 2558 (Reuters)


สินค้าโภคภัณฑ์:

• น้ำมันดิบร่วงต่อวันจันทร์ มีเพราะนักลงทุนยังกังวลว่าประเทศผู้ผลิตน้ำมันจะขยายเวลาลดกำลังการผลิตต่อไปอีกถึงสิ้น มิ.ย. เพื่อสู้กับอุปทานที่ล้นเกินหรือไม่ น้ำมันดิบสหรัฐ ลบ 33 เซนต์ (0.7%) ปิด 47.63 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล น้ำมันดิบ Brent ลบ 17 เซนต์ ปิด 50.63 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล โดยแตะจุดต่ำสุดของวัน ณ 50.03 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล (Reuters)

• ทองคำบวกกว่า 1% วันจันทร์ หลังประธานาธิบดี Trump ไม่สามารถผลักดันมาตรการปฏิรูปสาธารณสุขได้ในวันศุกร์ จึงเกิดคำถามว่าเขาจะสามารถผลักดันการลดภาษีและแผนใช้จ่ายได้ด้วยหรือไม่ ราคาทองคำตลาดจรปิดบวก 1% ที่ 1,256.02 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ไปแตะจุดสูงสุดในรอบ 1 เดือนที่ 1,261.03 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ (Reuters)