แนะลุย 'โกลบอล เฮลธ์แคร์' กองทุน

แนะลุย 'โกลบอล เฮลธ์แคร์' กองทุน

ชูลงทุน "โกลบอล เฮลธ์แคร์" กองทุน เชื่อพ้นจุดต่ำสุด ชี้ระยะสั้นอาจผันผวนจากนโยบายทรัมป์

กองทุนมองหุ้นกลุ่ม “เฮลธ์แคร์” ยังน่าสนใจ เชื่อราคาผ่านจุดต่ำสุดแล้ว มองนโยบาย “ทรัมป์” ปรับลดราคายาแพงอาจป่วนตลาดระยะสั้น แนะผู้ลงทุนศึกษาร่างกฎหมายใหม่ก่อนตัดสินใจลงทุน

นางสุภาพร ลีนะบรรจง ประธานเจ้าหน้าที่สายการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงศรี เปิดเผยว่า ปัจจุบัน หุ้นกลุ่มโกบอล เฮลธ์แคร์ (Global Healthcare) ฟื้นตัวขึ้น ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว เนื่องจากปัจจัยที่กดดันมาตลอดโดยเฉพาะการลดราคายาได้ผ่อนคลายลง จากนโยบายการลดราคายาของ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ไม่ได้ดูรุนแรงเหมือนกับนางฮิลลารี คลินตัน

อย่างไรก็ตาม ยังมีแรงกดดันในการลดราคายาที่มีราคาแพงของทรัมป์ ถือเป็นประเด็นที่มีความสำคัญสูงมากกับหุ้นกลุ่มนี้ จึงยังต้องรอความชัดเจน ขณะเดียวกันแม้มีการยกเลิกโอบามา เฮลธ์แคร์ (Obama care) คาดว่าจะมีการเสนอสวัสดิการในรูปแบบอื่นเพื่อมาชดเชย อีกทั้งธุรกิจที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจะเป็นกลุ่มโรงพยาบาลและบริษัทประกัน ซึ่งมีน้ำหนักการลงทุนในดัชนี Global Healthcare ไม่มากนัก แต่ในประเด็นนี้อาจจะสร้างความผันผวนให้กับตลาดเป็นระยะๆได้

สำหรับกองทุนเปิดกรุงศรี โกลบอลเฮลธ์แคร์ อิควิตี้ปันผล (KF-HEALTHD) (ข้อมูล ณ วันที่ 17 มี.ค.2560) มีผลการดำเนินงานอยู่ที่ 5.14% ต่อปี และ 1 ปี อยู่ที่ 3.4% ต่อปี ขณะที่เกณฑ์มาตรฐานตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 5.05% ต่อปี และ 1 ปี อยู่ที่ 6.77% ต่อปี มีขนาดกองทุนมูลค่ารวมทั้งสิ้น 9,628 ล้านบาท

นายสมิทธ์ พนมยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่ บลจ.ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า กลุ่มเฮลธ์แคร์มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นได้ตามตลาดหุ้นสหรัฐฯ จากปัจจัยพื้นฐานที่สนับสนุนทั้งในแง่การเติบโตของกำไรตามภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างมาก รวมทั้งนักลงทุนยังถือครองหุ้นสหรัฐฯ ในระดับกลางๆ ทำให้มีโอกาสที่จะมีเงินทุนเคลื่อนย้ายเข้าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ต่ออีกได้

ดังนั้น ด้วยภาพตลาดโดยรวมที่ยังเป็นแนวโน้มขาขึ้น ราคาหุ้นของกลุ่มเฮลธ์แคร์ก็ยังมีโอกาสที่จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย โดยเฉพาะถ้าพิจารณาจากมูลค่าพื้นฐาน ของกลุ่มนี้ที่ยังต่ำกว่าตลาดโดยรวมอยู่

นอกจากนี้ปัจจัยสนับสนุนเชิงบวกต่อกลุ่มเฮลแคร์อีกด้านคือการปรับโครงสร้างภาษีภายใต้นโยบายทรัมป์ (Tax Reform) ซึ่งคาดว่าจะมีการปรับลดภาษีนิติบุคคล พร้อมกับการเก็บภาษีนำเข้า (Border Adjustment Tax) เพิ่มขึ้น เพื่อสนับสนุนบริษัทในประเทศ โดยผลกระทบจากการปรับโครงสร้างภาษีดังกล่าว เฮลแคร์จะเป็นหนึ่งในกลุ่มที่ได้รับผลประโยชน์ในอันดับต้นๆ เนื่องจากสัดส่วนการนำเข้าผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศมีค่อนข้างน้อย และเป็นการคิดค้นพัฒนาผลิตภัณฑ์เป็นส่วนใหญ่

สำหรับ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ โกลบอลเฮลธ์แคร์ (SCBGHC) (ข้อมูล ณ วันที่ 17 มี.ค.2560) มีผลการดำเนินงาน ตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 10.85% ต่อปี และ 1 ปี อยู่ที่ 14.91% ต่อปี ขณะที่เกณฑ์มาตรฐานตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 9.20% ต่อปี และ 1 ปี อยู่ที่ 10.91% ต่อปี โดยปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 22 มี.ค. 2560) มีขนาดกองทุนกว่า 3,000 ล้านบาท

นายสาห์รัช ชัฎสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาด บลจ.ทิสโก้ กล่าวว่า หุ้นในกลุ่ม Healthcare จะ outperform ต่อเนื่อง เนื่องจากยังเป็นกลุ่มที่ laggard โดยเฉพาะ Healthcare ในสหรัฐฯ เมื่อเทียบกับการปรับตัวสูงขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐฯและยุโรปโดยภาพรวม ในขณะเดียวกันเราเชื่อว่าหุ้นในกลุ่ม Healthcare ยังคงเป็นกลุ่มที่มีผลประกอบการที่เติบโตแข็งแกร่งและมีความมั่นคงเนื่องจากผลิตภัณฑ์เป็นสินค้าจำเป็นในยุค Aging Society มีโอกาสที่จะมีเม็ดเงินไหลกลับเข้าลงทุน หลังจากมาตรการของประธานาธิบดีทรัมป์มีความชัดเจนมากขึ้น

โดยเฉพาะในเรื่องของมาตรการควบคุมราคายา นโยบายภาษีนิติบุคคล และภาษีในการนำผลกำไรกลับเข้าประเทศ ในปัจจุบัน valuation ของหุ้นในกลุ่ม Healthcareอยู่ในระดับที่ลงทุนได้ P/E อยู่ประมาณค่าเฉลี่ยในอดีต และต่ำกว่า P/E ในตลาดพัฒนาแล้วหลายๆ ประเทศโดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ เป็นปัจจัยหนุน

ทั้งนี้ ณ วันที่ 17 มี.ค. 2560 กองทุน TISCO Global Healthcare Star Plus มีผลตอบแทนอยู่ที่ 10.4% TISCO Global Healthcare RMF มีผลตอบแทน 8% เทียบกับผลตอบแทนของ S&P500 ที่ 6.2%