“บิ๊กธุรกิจ”แนะคาถาลงทุน ‘ยืดหยุ่น -ปรับตัวเร็ว’

“บิ๊กธุรกิจ”แนะคาถาลงทุน ‘ยืดหยุ่น -ปรับตัวเร็ว’

ในงาน Babson Connect Worldwide 2017 ที่จัดโดยวิทยาลัยแบบสัน สถาบันการศึกษาด้านผู้ประกอบการธุรกิจ

ได้เชิญนักธุรกิจชั้นนำ มาร่วมแลกเปลี่ยนข้อมูล รวมถึงประสบการณ์ และมุมมองในการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการ

ธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การดำเนินธุรกิจในปัจจุบันจะต้องยืดหยุ่น และสามารถปรับตัวได้กับสถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น เนื่องจากเหตุการณ์ต่างๆทั่วโลกในปัจจุบันค่อนข้างอ่อนไหว อาทิ นโยบายต่างๆที่มีผลต่อการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ ดังนั้นผู้ประกอบการจึงต้องหาทางออกที่ดีสำหรับการปรับตัวรับมือกับสถานการณ์เหล่านี้ ตลอดจนต้องปรับตัว “เคลื่อนไหวให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้”

เช่น การกระจายการลงทุนในตลาดต่างๆ รวมถึงการหาแหล่งวัตถุดิบในหลายสถานที่ รองรับความเสี่ยงต่างๆ รวมถึงกระจายความเสี่ยงในกรณีที่แหล่งวัตถุดิบแหล่งใดแหล่งหนึ่งเกิดปัญหาก็ยังมีอีกแหล่งที่สามารถดำเนินการต่อไปได้ สำหรับ ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป มีฐานการผลิตในหลายประเทศ เช่น ซีเชลล์ กานา ส่วนในเอเชียก็มีฐานการผลิตทั้งไทย เวียดนาม ปาปัวนิวกินี

“ธุรกิจนี้แข่งขันค่อนข้างสูงและมีปัจจัยความท้าทายมาก โดยมองว่าแลนด์สเคปในตลาดนี้ค่อนข้างเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว”

ทั้งนี้ ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป ก่อตั้งในปี2520โดยตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ได้ขยายธุรกิจหลากหลายต่างๆ เช่น การขยายธุรกิจไปยังตลาดสหรัฐ ในปี 2553 การขยายธุรกิจในยุโรป เช่น การซื้อกิจการ “คิง ออสการ์” ผู้ผลิตปลากระป๋องในนอร์เวย์ รวมถึงธุรกิจในเยอรมนี ซึ่งถือเป็น1ในความท้าทายสำหรับการดำเนินงานของธุรกิจไทยกับการขยายกิจการและการเติบโตในตลาดต่างประเทศอย่างมาก

สำหรับธุรกิจของ ไทยยูเนี่ยน ค่อนข้างซับซ้อน เพราะมีความต้องการ(ดีมานด์)จากหลายฝ่าย ทั้ง NGO ผู้บริโภค ทั้งยังมีเรื่องการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานในไทย ที่ไทยถูกจัดลำดับจากสหรัฐ ตามรายงานค้ามนุษย์ อยู่ในระดับ(เทียร์)ไม่สู้ดีนัก เท่ากับคิวบา อิหร่าน ตลอดจนเรื่องนวัตกรรมที่ต้องให้ความสำคัญ เพราะธุรกิจนี้มีมาร์จิน(กำไรต่อหน่วย)ต่ำ จึงต้องนำนวัตกรรมเทคโนโลยีต่างๆมาพัฒนาสินค้าเพื่อสร้างความแตกต่างในตลาด และเพิ่มขีดแข่งขันไม่ให้ผู้เล่นรายอื่นๆสามารถลอกเลียนแบบได้

ดังนั้นบริษัทจึงได้วางพันธกิจ 3 ประการหลักที่จะให้ความสำคัญกับการผลักดันภายในองค์กรเป็นอันดับต้นๆ ประกอบด้วย ความสามารถพิเศษ (Talent)ของบุคลากร การพัฒนาและการเติบโตที่ควบคู่กับความยั่งยืน (Sustainability) ตลอดจนด้านนวัตกรรม (Innovation) ซึ่งจะต้องใช้เวลากับการพัฒนาภายในองค์กร วางกรอบการทำงานต่างๆให้กับพนักงานภายในองค์กรว่าจะต้อง “ไม่แข่งขัน” เพื่อการเติบโต แต่ต้อง“ร่วมกันทำงาน”เพื่อสร้างการเติบโต ดำเนินงานตาม Core Value (คุณค่าหลัก) ที่วางไว้

วิลเลียม ไฮเนคกี้ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เครือไมเนอร์ กรุ๊ป กล่าวว่า บริษัทยังคงมองหาโอกาสขยายการเติบโตองค์กรอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นการเติบโตในทุกรูปแบบทั้งการขับเคลื่อนธุรกิจหลัก (Core Business) ที่ยังดำเนินงานอยู่ รวมถึงรูปแบบการลงทุนควบรวมกิจการ (Mergers and acquisitions) ควบคู่กัน และสนใจที่จะขยายกิจการอีกมากในหลายตลาด เช่น ออสเตรเลีย ยุโรป เอเชีย รวมถึงตลาดในอาเซียนก็ยังมีโอกาสอยู่มาก โดยในปัจจุบันบริษัทมีกิจการใน 32 ประเทศทั่วโลก

ขณะเดียวกัน มองว่าตลาดไทยยังมีความแข็งแกร่ง และเป็นตลาดที่มีความพิเศษตรงที่สามารถ“ฟื้นตัว”ได้อย่างรวดเร็วไม่ว่าจะเผชิญกับสถานการณ์ใดๆ

นอกจากนี้ ยังมองว่า ในช่วงไตรมาส2 จะยังไม่มีปัจจัยน่ากังวลใดๆ และยังมีสถานการณ์โดยรวมใกล้เคียงกับช่วงไตรมาสแรก ส่วนภาพรวมของไมเนอร์ กรุ๊ป ในปีนี้ยังคงตั้งเป้าหมายเติบโตต่อเนื่อง โดยในปัจจุบันไมเนอร์ กรุ๊ป มีพนักงานรวมกว่า 65,000 คน

อาลก โลเฮีย รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทอินโดรามา เวนเจอร์ส กล่าวว่า แนวโน้มการดำเนินธุรกิจในปีนี้จะต้องปรับตัวและกระจายการลงทุนในตลาดต่างๆ เช่น การควบรวม หรือซื้อกิจการในหลายประเทศเพื่อกระจายความเสี่ยง เช่น การดำเนินงานของบริษัทที่กระจายการลงทุนในหลายตลาด โดยในปัจจุบันบริษัทมีโรงงานปิโตรเคมี รวมจำนวนทั้งสิ้น 66 แห่ง ใน 21 ประเทศทั่วโลก จึงมีแหล่งวัตถุดิบที่หลากหลาย

ขณะเดียวกัน ในปีนี้บริษัทยังมีแผนจะลงทุนเข้าซื้อกิจการโรงงานอีก 2 แห่งในต่างประเทศสำหรับการดำเนินธุรกิจหลัก แบ่งเป็น ครึ่งปีแรก 1 โรงงาน และครึ่งปีหลังอีก 1 โรงงาน โดยได้วางงบลงทุนประมาณ 3.5 หมื่นล้านบาท 

สำหรับการลงทุนในช่วงระยะเวลา 2 ปีนี้ ซึ่งในปีนี้ตั้งเป้าหมายอัตราการเติบโตเชิงปริมาณเพิ่มขึ้นราว 12%  ซึ่งยังต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยราคาน้ำมัน โดยบริษัทยังคงมุ่งเน้นการพัฒนาที่ยั่งยืน รวมถึงการดำเนินงานที่มีความปลอดภัยควบคู่กัน ตลอดจนดำเนินงานตามกฎพื้นฐานขององค์กรที่ได้วางไว้ โดยเฉพาะการสร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้า