Daily Market Outlook (23 มี.ค.60)

Daily Market Outlook (23 มี.ค.60)

ไม่มั่นใจนโยบาย Trump ส่งออก ก.พ. ร่วง

คาดหุ้นไทยลงต่อจากความไม่มั่นใจว่านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของ Trump จะออกมาได้ในเร็ววัน และข่าวลบภายในประเทศ จุดสนใจหลักวันนี้คือ การลงมติของสภาล่างสหรัฐวันนี้ต่อ พรบ.สาธารณสุขของ Trump หากบรรดา ส.ส.ลงมติไม่ผ่าน ความเชื่อมั่นใน Trump จะลดลงอย่างมากโดยเฉพาะในนโยบายที่ได้หาเสียงไว้อื่นๆ ด้วย การก่อการร้ายในลอนดอนเพิ่มความรู้สึกที่เป็นลบต่อตลาดอยู่บ้าง ตัวเลขส่งออกของไทยกลับมาหดตัวอีกในเดือน ก.พ. หลังจากเป็นบวกในเดือน ธ.ค.และ ม.ค. ตัวเลขส่งออกรถยนต์ก็ร่วงด้วยในเดือน ก.พ.

หุ้นเด่นวันนี้: EGCO (ราคาปิด 208.00 บาท; NR; ราคาเป้าหมาย Bloomberg 226.91 บาท)

บมจ. ผลิตไฟฟ้าเป็นหุ้นเด่นในวันนี้ด้วยกลยุทธ์ Defensive play จากค่า Beta ที่ต่ำเพียง 0.22 เท่า ภายใต้ความกังวลของตลาดในปัจจุบันต่อการเดินหน้านโยบายของ Donald Trump นับจากนี้ นอกเหนือจากความโดดเด่นในแง่ของการเป็น Defensive play ที่ดีแล้ว EGCO ยังมีความน่าสนใจในแง่ของการเติบโตของธุรกิจอย่างยั่งยืน รวมถึงผลตอบแทนจากเงินปันผลที่น่าสนใจ กำลังการผลิตไฟฟ้าของ EGCO ในระดับปัจจุบันที่ 4,122 เมกะวัตต์ (ตามสัดส่วนการถือหุ้น) ยังสามารถเติบโตได้จากโครงการลงทุนในมือที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแล้ว 869 เมกะวัตต์ (ตามสัดส่วนการถือหุ้น) ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงของการก่อสร้างและพัฒนาโครงการในช่วง 3-4 ปีข้างหน้านี้ และจะรับรู้ในเชิงพาณิชย์ปีนี้ราว 400 เมกะวัตต์ ประกอบกับ Upside การเติบโตใหม่ๆ ในอนาคตจากความต้องการใช้ไฟฟ้าในภูมิภาคที่กำลังเติบโตสูง อ้างอิงประมาณการกำไรสุทธิจาก Bloomberg consensus คาดจะเห็นการเติบโตของกำไรสุทธิปีนี้ที่ระดับ 17% YoYก่อนจะขยายตัวอย่างยั่งยืนต่อเนื่องอีก 6-7% ในช่วงระหว่างปี 2561-62 ขับเคลื่อนจากการทยอยผลิตไฟฟ้าของโครงการโรงไฟฟ้าในมือตามแผนข้างต้น อัตราเงินปันผลยังน่าสนใจที่ราคาหุ้นปัจจุบันอยู่ที่ระดับราว 3.5% ต่อปี ในส่วนของ Price Pattern ของ EGCO ยังมีความแข็งแกร่งในแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) จากการเกิดทั้ง Daily, Weekly, & Monthly Buy Signal โดยเมื่อพิจารณา Price Pattern ของ EGCO คาดว่าจะไปทดสอบเป้าหมายถัดไปของการทำ New High อยู่ที่ 222.00 บาท ซึ่ง EGCO มีจุด Stop Loss ระยะสั้นในรอบนี้อยู่ที่ 203.00 บาท (แนวต้าน: 209.00, 211.00, 213.00; แนวรับ: 206.00, 204.00, 202.00)

ปัจจัยสำคัญ

ประเด็นในประเทศ:

• ส่งออกร่วง ก.พ. เพราะฐานสูง พาณิชย์คาดปี 60 โตอย่างน้อย 3%ก.พาณิชย์วานนี้รายงานว่าส่งออก ก.พ. ร่วง 2.8% เทียบปีก่อนสู่ 1.847 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นการร่วงครั้งแรกในรอบสี่เดือน เพราะ ก.พ. 59 มีการส่งออกทองคำและผลิตภัณฑ์อากาศยานจำนวนมาก หากไม่รวมตรงนี้ ที่จริงส่งออกจะเพิ่ม 8.5% เทียบปีก่อน ขณะที่นำเข้าพุ่ง 20.4% เทียบปีก่อนสู่ 1.686 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้เกินดุลการค้า 1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ การส่งออก 2 เดือนแรกโต 2.5% สู่ 3.556 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ก.พาณิชย์ยังมั่นใจว่าส่งออกปีนี้จะเติบโตอย่างน้อย 3% เพราะแนมโน้มตลาดส่งออกโดยรวม ดอลลาร์ที่แข็งค่าเทียบเงินบาทเพราะการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐและราคาน้ำมันที่สูงขึ้น (Bangkok Post)

• ยอดส่งออกรถยนต์แย่ แต่ยอดขายในประเทศดี ใน ก.พ. สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยรายงานยอดส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป ก.พ. ปีนี้ร่วง 6.2% สู่ 98,237 คัน หดตัวเป็นเดือนที่ 8 ด้วยมูลค่าส่งออกหดตัว 6.7% สู่ 5.19 หมื่น ลบ. เพราะทุกตลาดซบเซา การผลิตยานยนต์ของประเทศร่วง 7.2% สู่ 154,496 คัน อย่างไรก็ดียอดขายในประเทศดีขึ้น 19.9% YoYและ 19.5% MoMสู่ 68,435 คันเพราะค่ายรถยนต์รุกออกรถรุ่นใหม่และการนำรุ่นเก่ากลับมา รวมทั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ สำหรับสองเดือนแรก การส่งออกเท่ากับ 178,334 คัน ลดลง 10.1% ด้วยมูลค่า 12.1% สู่ 9.33 หมื่น ลบ. ยอดผลิตในประเทศอยู่ที่ 306,757 คัน ลดลง 2.3% ขณะที่ยอดขายในประเทศ 125,689 คัน เพิ่มขึ้น 15.4% (FTI)

• จำนวนสาขาธนาคารพาณิชย์ในเดือนก.พ. ลดลง ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทยระบุว่าจำนวนสาขาธนาคารพาณิชย์ ณ สิ้นเดือนก.พ. ลดลงมาอยู่ที่ 6,980 สาขา จากตัวเลขเมื่อสิ้นปี 2559 ที่ 7,016 สาขา โดยสาขาของธนาคารกสิกรไทย (KBANK: ราคาปิด 190.50 บ. ซื้อ ราคาเป้าหมาย AWS 217.00 บ.) ลดลงมากที่สุดที่ 17 สาขา เหลือ 1,093 สาขา (Bangkok Post)ความเห็น: เราไม่ประหลาดใจต่อประเด็นดังกล่าวเนื่องจากธ.พ. มีความพยายามที่จะปิดสาขาที่มีความซ้ำซ้อน และกำลังปรับตัวตามกระแสของผู้บริโภคที่มุ่งเน้นไปยัง Digital banking มากขึ้น

• จีน, สหภาพยุโรปและญี่ปุ่นยกเลิกการนำเข้าเนื้อสัตว์จากบราซิลหลังจากตำรวจจับกุมผู้ตรวจสอบอาหารที่ทำการตรวจสอบเนื้อวัว และเนื้อไก่ ส่งออกรายใหญ่ที่สุดของบราซิล ในการรับสินบนที่ลักลอบขายเนื้อสัตว์หมดอายุและเชื้อปนเปื้อน (Reuters) ความเห็น: การห้ามส่งออกเนื้อสัตว์ของบราซิลจะทำให้ผู้ส่งออกเนื้อไก่ของไทยได้รับประโยชน์ ได้แก่GFPT, CPF และ TFGบราซิลเป็นผู้ส่งออกเนื้อไก่รายใหญ่ที่สุดของโลกมีส่วนแบ่งการตลาด 37% ของตลาดโลก ตามด้วยสหรัฐฯ (28%) ฝรั่งเศส (12%) และไทย (6%) ขณะที่ผู้นำเข้าไก่เนื้อที่ใหญ่ที่สุดในโลก คือญี่ปุ่น (11%)ซาอุดีอาระเบีย (10%) เม็กซิโก (9%) และสหภาพยุโรป (8%) ตามลำดับในเบื้องต้นเราแนะนำ Trading Buy กลุ่มผู้ประกอบการในกลุ่มนี้ โดยเฉพาะเราเชื่อว่า GFPT จะเป็นผู้ที่ได้ประโยชน์สูงสุดจากการเพิ่มมูลค่าการส่งออกไปยังญี่ปุ่นและอียู

ต่างประเทศ:

• มีผู้เสียชีวิต 5 รายและบาดเจ็บอีก 40 รายในกรุงลอนดอนเมื่อวันพุธ หลังจากรถยนต์คันหนึ่งพุ่งเข้าชนคนเดินถนนและผู้โจมตีรายหนึ่งแทงเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งอยู่บริเวณรัฐสภา เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในวาระครบรอบ 1 ปี ที่พวกนักรบอิสลามโจมตีในบรัสเซลส์และคร่าชีวิต 32 ราย เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นการโจมตีที่ร้ายแรงที่สุดนับแต่มีผู้ก่อการร้ายอิสลามที่เป็นชาวอังกฤษ 4 รายได้สังหารผู้โดยสารที่เดินทางจากชานเมือง 52 ราย และระเบิดพลีชีพตัวเองในระบบขนส่งในกรุงลอนดอนเมื่อเดือนก.ค. 2005 (Reuters)

• อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐลดลงเมื่อวันพุธ เนื่องจากนักลงทุนลดความคาดหวังว่าเฟดจะรีบปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและไม่น่าจะออกมาตรการกระตุ้นการคลังใหม่ ๆ ในระยะเวลาอันใกล้ ราคาผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี เพิ่มขึ้น 11/32 อัตราผลตอบแทนอยู่ที่ 2.40% ลดลงจากที่ระดับ 2.43% เมื่อวันอังคาร (Reuters)

• ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 4 เดือนเทียบกับเงินเยนเมื่อวันพุธ เนื่องจากนักลงทุนประเมินการขยายตัวทางเศรษฐกิจใหม่ภายใต้การบริหารของทรัมป์ซึ่งก่อนหน้านี้ดันให้ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าสู่ระดับสูงสุดในรอบ 14 ปี และดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยเมื่อวันพุธ ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ลดลง 0.12% อยู่ที่ระดับ 99.698 หลังจากใกล้แตะระดับต่ำสุดในรอบ 7 สัปดาห์ที่ระดับ 99.547 (Reuters)

สหรัฐ:

• ดัชนีตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดผสมผสาน ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวนเนื่องจากนักลงทุนจับตาความพยายามของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่หวังผลักดันร่างกฎหมายประกันสุขภาพฉบับทดแทนและเข้าช้อนซื้อหลังจากหนึ่งวันก่อนหน้านี้ร่วงลงอย่างหนัก (Reuters)

• ทรัมป์และสมาชิกพรรครีพับลิกันดูเหมือนจะสูญเสียเสียงสนับสนุนในการออกกฎหมายประกันสุขภาพฉบับใหม่ ซึ่งมีกำหนดลงมติในสภาผู้แทนในวันนี้ การแพ้การลงคะแนนเสียงหรือชะลอออกไปจะส่งผลลบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในความสามารถในการออกกฎหมายของทรัมป์และความสามารถของเขาในการรักษาสัญญาต่อธุรกิจต่าง ๆ (Reuters)

ยุโรป:

• ตลาดหุ้นยุโรปเมื่อวันพุธปรับตัวลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 2 สัปดาห์ ต่อเนื่องจากการลดลงก่อนหน้านี้ กดดันจากเหตุการณ์การโจมตีบริเวณอาคารรัฐสภาอังกฤษในกรุงลอนดอน ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวลดลงเนื่องจากนักลงทุนเกิดความวิตกว่าการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของ Donald Trump ปธน. สหรัฐฯ อาจประสบความล่าช้า (Reuters)

เอเชีย:

• ผู้กำหนดนโยบายของ BOJ ได้ลดความคาดหวังต่อการเก็งกำไรจากการถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารกลางในระยะใกล้ออกไปอย่างไรก็ตามพวกเขามีความเชื่อมั่นมากขึ้นเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่มีเศรษฐกิจสหรัฐฯและจีนที่ความแข็งแกร่ง(Reuters)

• การระงับการเพิ่มทุนเฉพาะเจาะจงทำให้ภาคเอกชนของจีนเผชิญความเสี่ยงด้านหนี้เพิ่มสูงขึ้นกฎใหม่ในการควบคุมการจำหน่ายหุ้นส่วนตัวของบริษัทจีนผลักดันให้บริษัทต้องกู้ยืมเงินจำนวนมากขึ้น เป็นการเพิ่มภาระหนี้ของบริษัทให้อยู่ในระดับสูงสุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤติการเงินทั่วโลก กฎระเบียบใหม่จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์แห่งประเทศจีน (CSRC) เมื่อเดือนที่แล้ว จำกัดขนาดของการจัดหาเงินทุนตามรายงานของสื่อแจ้งว่ามี46 บริษัท ได้ยกเลิกจำหน่ายหุ้นเฉพาะเจาะจงเนื่องจากมีกฎนี้เข้ามา(Reuters)

สินค้าโภคภัณฑ์:

• น้ำมันดิบร่วงวันพุธ สู่จุดต่ำสุดนับแต่ปลาย พ.ย. หลังตัวเลขชี้ว่าสต็อกน้ำมันสหรัฐเพิ่มขึ้นมากกว่าคาด ทำให้กังวลกันถึง การลดกำลังการผลิตของ OPEC ว่าจะได้ผลจริงหรือไม่ น้ำมันดิบ Brent ลบ 32 เซนต์ (-0.6%) ปิด 50.64 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ต่ำสุดนับแต่ 30 พ.ย. เป็นเวลาที่ OPEC ตัดสินใจลดกำลังการผลิต น้ำมันดิบสหรัฐลบ 20 เซนต์ (-0.4%) ปิด 48.04 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล (Reuters)

• สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐพุ่ง US EIA กล่าวว่าสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐไต่ขึ้นเกือบ 5 ล้านบาร์เรลสู่ 533.1 ล้านสัปดาห์ที่แล้ว เกินคาดการณ์ที่ 2.8 ล้านบาร์เรลไปมาก ผู้ผลิตน้ำมันหินดินดานเพิ่มแท่นขุดเจาะ ทำให้การผลิตของสหรัฐขึ้นไป 9.1 ล้านบาร์เรลต่อวันในรอบสัปดาห์สิ้นสุด 10 มี.ค. จากค่าเฉลี่ย 8.9 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 59 (Reuters)

• ทองคำบวกแตะจุดสูงสุดรอบ 3 สัปดาห์วันพุธ เพราะดอลลาร์ที่ร่วงแตะจุดต่ำสุดรอบ 6 สัปดาห์และผลตอบแทนพันธบัตรที่ลดลงจากความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจของ Trump ราคาทองคำตลาดจรปิดบวก 0.3% ที่ 1,248.68 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ใกล้จุดสูงสุดของวันที่ 1,250.51 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ (Reuters)