สั่งคุก21ปีพ่อจับลูกสาว8ขวบ กรอกยาบ้าผสมน้ำอัดลม-ข่มขืนจนตาย

สั่งคุก21ปีพ่อจับลูกสาว8ขวบ กรอกยาบ้าผสมน้ำอัดลม-ข่มขืนจนตาย

ศาลจังหวัดตรัง สั่งจำคุก21ปี8เดือน คดีสลดพ่อแท้ๆ จับลูกสาววัย8ขวบ กรอกยาบ้าผสมน้ำอัดลม แล้วข่มขืนจนตาย

ที่ศาลจังหวัดตรัง ผู้พิพากษาศาลจังหวัดตรัง ได้ออกนั่งบัลลังก์ที่ 11 พิจารณาคดีดำเลขที่ อ.31117/59 ที่อัยการจังหวัดตรังเป็นโจทย์ยื่นฟ้องกิตติศักดิ์ ทองย้อย (บ่าว) อายุ 33 ปี อยู่บ้านเลขที่ 144 หมู่ที่ 4 ต.หนองตรุด อ.เมือง จ.ตรัง ซึ่งตกเป็นจำเลยในคดีจับลูกสาว คือ เด็กหญิงนิศารัตน์ ทองย้อย หรือน้องหนูนา อายุเพียง 8 ขวบ กรอกยาบ้าผสมน้ำอัดลมแล้วลงมือข่มขืนจนเป็นเหตุให้ลูกสาวเสียชีวิต เนื่องจากช็อกจากการที่มีสารเสพติดในร่างกายในปริมาณที่มากเกินขนาด เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2559 ที่ผ่านมา

โดยบรรยากาศที่หน้าศาลจังหวัดตรัง หนาแน่นไปด้วยประชาชนที่ไปติดต่อราชการศาลจำนวนมาก แต่บรรดาญาติๆ ของจำเลยเดินทางไปร่วมรับฟังการพิจารณาคดีประมาณ 3-4 คนเท่านั้น โดยเฉพาะภรรยาของจำเลย ซึ่งเป็นแม่ของเด็กหญิงไม่ได้เดินทางไปร่วมรับฟังคำพิพากษาด้วยแต่อย่างใด

โดยโจทย์ได้ยื่นฟ้องจำเลย ใน 2 ข้อหาหนัก คือ ทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย ด้วยการบังคับให้เด็กหญิงเสพสารเสพติดเข้าไปในร่างกายจนเกินขนาดเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย และ 2. ข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกิน 13 ปี ซึ่งเป็นผู้สืบสันดาน นอกจากนั้น ศาลได้นำคดีเก่าของนายกิตติศักดิ์ คือ เสพสารเสพติดขณะขับรถ ซึ่งศาลได้รอลงอาญาไว้ตั้งแต่ปี 2557 มาพิจารณาด้วย โดยศาลใช้เวลาในการอ่านคำพิพากษานานประมาณ 40 นาที พิจารณาหลักฐานทุกด้าน ทั้งพยานบุคคล ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ แพทย์ พยาบาล ซึ่งเป็นคนกลาง รวมทั้งพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะดีเอ็นเอที่พบจากเสื้อผ้าของผู้เสียชีวิตแล้ เห็นว่าจำเลยเป็นผู้ลงมือกระทำการเพียงคนเดียว

ส่วนพยานฝ่ายจำเลยทั้งตัวจำเลย รวมทั้งภรรยาของจำเลย (ซึ่งเป็นแม่ของผู้เสียชีวิต) และน้องสาวของผู้เสียชีวิต ให้ปากคำที่มีการปรุงแต่งโดยไม่มีหลักฐานใดๆมาประกอบ จึงพิจารณา ลงโทษการกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 13 ปี ซึ่งเป็นผู้สืบสันดาน จำคุก 24 ปี , ฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย จำคุก 8 ปี
ส่วนจำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุให้บรรเทาโทษลดโทษได้ 1 ใน 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 โดยฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกิน 13 ปี ซึ่งเป็นผู้สืบสันดาน คงจำคุก 16 ปี , ฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย คงจำคุก 5 ปี 4 เดือน รวมจำคุกจำเลย 21 ปี 4 เดือน และให้นำโทษจำคุก 4 เดือน ที่ศาลรอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2557/2557 (คดีเสพสารเสพติดขณะขับรถ ) มาบวกเพิ่มโทษจำคุกจำเลยในคดีนี้ด้วย รวมเป็นจำคุกจำเลยมีกำหนดทั้งหมด 21 ปี 8 เดือน

สำหรับคดีดังกล่าวนี้ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2559 ที่ผ่านมา ที่น้องหนูนา หรือเด็กหญิงนิศารัตน์ ทองย้อย อายุ 8 ขวบ ถูกคนร้ายบุกเข้าไปภายในบ้านบังคับให้ดื่มน้ำยาบ้าผสมน้ำอัดลม แล้วลงมือข่มขืน อย่างทารุณจนเหยื่อมีอาการประสาทหลอน ปวดท้องรุนแรง พ่อแม่ต้องนำส่ง รพ.ตรัง เพื่อทำการรักษาแต่ไม่ทันการเสียชีวิตอย่างน่าสลดในเวลาต่อมา

โดยเบื้องต้นแพทย์โรงพยาบาลตรังระบุมีสารเสพติดในร่างกายเด็กเกินขนาด จนเด็กเกิดอาการช๊อก อวัยวะเพศและทวารหนักฉีกขาด ซึ่งต่อมาทางเจ้าหน้าที่ได้ออกหมายจับนายศรัณย์รัชต์ ซู่สั้น หรือเฟิร์ส เพื่อนบ้าน อายุ 20 ปี พร้อมนำตัวผู้ต้องสงสัยรายอื่นๆในหมู่บ้านรวม 7 คน รวมทั้งนายกิตติศักดิ์ จำเลย (ซึ่งเป็นพ่อของเด็ก) ไปตรวจหาหลักฐานตามร่างกาย โดยเฉพาะดีเอ็นเอ เพื่อเปรียบเทียบกับหลักฐานที่เก็บได้จากตัวเด็กและที่เกิดเหตุ

จนในที่สุดผลหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ยืนยันชัดว่า ดีเอ็นเอจากคราบอสุจิที่พบจากเสื้อผ้าของเด็กตรงกับของพ่อ เพียงคนเดียว เจ้าหน้าที่จึงมีการจับกุมนายกิตติศักดิ์ โดยนายกิตติศักดิ์ หลังถูกตำรวจจับกุมตัวได้ นำไปสอบปากคำและคุมขังไว้ที่ สภ.เมืองตรัง ก็ได้คิดสั้นพยายามจะผูกคอตายในห้องขัง แต่เจ้าหน้าที่ได้ยินเสียก่อน จึงสามารถนำส่งโรงพยาบาลศูนย์ตรัง ในสภาพบาดเจ็บสาหัส ให้แพทย์ช่วยเหลือชีวิตไว้ได้

หลังจากนั้น เมื่อผลดีเอ็นเอออกมาครบสมบูรณ์ ทางเจ้าหน้าที่ก็ต้องปล่อยตัวนายศรัณย์รัชต์ ซู่สั้น ซึ่งตกเป็นแพะในคดีดังกล่าว ซึ่งต่อมาครอบครัวโดยเฉพาะนายรชต ซู่สั้น ซึ่งเป็นพ่อของนายศรัณย์รัชต์ ได้ออกมาเรียกร้องขอความเป็นธรรมผ่านสื่อมวลชน กรณีลูกชายถูกจับเป็นแพะ โดยถูกสังคมตราหน้าว่าเป้ฯคนกระทำ ต้องหยุดพักการทำงาน ไม่มีรายได้ และมีหนี้สินจากการถูกจับวิ่งเต้นเพื่อต่อสู้คดี โดยยืนยันมาตลอดว่าไม่ได้เป็นผู้กระทำผิดในคดีดังกล่าว จนกระทั่งได้รับการปล่อยตัวไป และทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยอมชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ครอบครัวซู่สั้นเป็นเงิน 200,000 บาท แต่ต่อมานายรชต ซึ่งมีโรคประจำตัว ไม่ได้พักผ่อนและเครียดเรื่องลูกชายถูกจับ ทำให้โรคกำเริบ ได้เสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2559 และในวันนี้ ศาลชั้นต้นได้นัดอ่านคำพิพากษานายกิตติศักดิ์ ซึ่งเป็นพ่อของเด็ก และลงโทษจำคุกรวมเป็นเวลา 21 ปี 8 เดือน ในวันนี้