สั่งกองทัพภาค3 สอบทหารวิสามัญหนุ่มนักกิจกรรมวัย17ชาวลาหู่

สั่งกองทัพภาค3 สอบทหารวิสามัญหนุ่มนักกิจกรรมวัย17ชาวลาหู่

"ผบ.ทบ." สั่ง "กองทัพภาค3" ลงพื้นที่ตรวจสอบเหตุทหารวิสามัญชาวลาหู่ ตั้ง "รองแม่ทัพภาค3" สอบสวน วอนสังคมรอกระบวนยุติธรรม

ที่กองบัญชาการกองทัพบก - พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ชี้แจงกรณีหลายองค์กรมีความห่วงใยต่อกรณีเหตุการณ์เจ้าหน้าที่มีการใช้อาวุธป้องกันตัวเป็นเหตุให้ผู้กระทำผิด พ.ร.บ.ยาเสพติด หรือนักกิจกรรมชาวลาหู่เสียชีวิต อยากให้มีการดำเนินการที่เป็นธรรมต่อทุกฝ่าย

กองทัพบก โดย พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) จึงได้สั่งการให้ กองทัพภาคที่ 3 มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนต่อเรื่องนี้ เป็นการเฉพาะคู่ขนานเพิ่มเติม โดยมี พล.ต. สมพงษ์ แจ้งจำรัส รองแม่ทัพภาคที่ 3 เป็นประธานคณะกรรมการฯ ซึ่งวันนี้คงจะได้เดินทางไปกองกำลังผาเมืองเพื่อดำเนินการสอบสวนเหตุการณ์

พ.อ.วินธัย กล่าวต่อว่า แม้ว่าเรื่องดังกล่าวมีการดำเนินการไปตามขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรมแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินคดีกล่าวหาว่าคนร้ายมียาเสพติด มีการต่อสู่ และพยายามฆ่าเจ้าพนักงาน กับคดีที่ทางตำรวจต้องกล่าวหาตัว เจ้าหน้าที่ว่าได้ทำให้ผู้อื่นเสียชีวิต สุดท้ายก็เป็นคดีคดีไต่สวนชันสูตรพลิกศพเพราะเหตุแห่งการเสียชีวิตมาจากเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งทางญาติเองถ้าติดใจสามารถแต่ทนายร่วมซักค้านได้ หรือดำเนินการอื่นใดตามช่องทางด้านกฎหมายที่เปิดช่องไว้ให้ เพื่อให้เกิดความกระจ่างชัดและเกิดความสบายใจต่อทุกฝ่าย

พ.อ.วินธัย กล่าวว่า จากการที่ได้ติดตามข่าวสารจากการเสนอของสื่อบางสำนัก มีข้อมูลอยู่ 2 ส่วน ส่วนแรกคือการกล่าวถึง สถานะส่วนตัวของนายชัยภูมิ เป็นนักกิจกรรม จึงคาดเดาว่านักกิจกรรมไม่สามารถไปยุ่งเกี่ยวเรื่องยาเสพติดได้ และในบางความเห็นก็แย้งมาในทำนองว่าจากประวัติเรื่องของยาเสพติดที่ผ่านมานั้น ทำให้เชื่อได้ว่าอาจจะไม่เข้าใครออกใคร ไม่ว่าจะเป็นบุคคลกลุ่มไหน อาชีพไหน สถานะไหน จากประวัติในอดีตที่เห็นกันเคยมีทั้ง ข้าราชการผู้ประพฤติดี ศิลปิน นักแสดง นักเรียนนักศึกษา ผู้ครองสมณะเพศ หรือแม้แต่ตัวเจ้าหน้าที่เองก็ตาม

พ.อ.วินธัย กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม กองทัพบกยินดีสนับสนุนเพื่อพยายามคลี่คลายข้อสงสัยให้สังคมภายใต้กลไกที่มีอยู่ให้ได้อย่างดีที่สุด โดยจะเน้นอาศัยข้อเท็จจริงในแบบที่จับต้องได้ หลีกเลี่ยงการใช้ความรู้สึกการคาดเดา เพื่อให้ข้อสงสัยในส่วนนี้กระจ่างมากขึ้น

สำหรับในส่วนที่ 2 เป็นเรื่องตัวบุคคล เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ ได้มีการใช้ดุลพินิจในช่วงวินาทีวิกฤติ เป็นการตัดสินใจเฉพาะตัว ส่วนการป้องกันตัวจะสมเหตุสมผลหรือไม่ จำนวนกระสุน 1 นัดที่ใช้ไปนั้นจะ เพื่อหยุด หรือเพื่อทำร้าย ซึ่งเจ้าหน้าที่เองก็ไม่ทราบมาก่อนว่านายชัยภูมิ เป็นนักกิจกรรม ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างขั้นตอนการพิสูจน์ตามกระบวนการที่กฎหมายกำหนดแล้วทุกประการ

พ.อ.วินธัย กล่าวว่า ข้อสังเกตสำคัญสำหรับภาพรวมเหตุการณ์ใบเบื้องต้นพบมีผู้กระทำความผิด 2 คน แต่เกิดเหตุอันน่าเสียใจกับนายชัยภูมิ เพียงคนเดียว ซึ่งอาจบ่งบอกถึงพฤติกรรมของทั้งสองคนนั้นย่อมไม่เหมือนกัน โดยเฉพาะลักษณะของด่านตรวจค้นเป็นแบบด่านถาวร และเป้าประสงค์พื้นฐานของ เจ้าหน้าที่ประจำด่านตรวจ จะเน้นเพียงเพื่อการตรวจค้น ไม่ใช่ชุดกำลังเฉพาะกิจที่เตรียมไว้รองรับการปะทะ เหมือนเป้าหมายอื่นๆ ที่จำเป็นต้องใช้กำลังบังคับ การใช้อาวุธของเจ้าหน้าที่ครั้งนี้เชื่อว่าไม่ได้อยู่ในแผนจริงๆ

พ.อ.วินธัย กล่าวว่า สำหรับผู้ต้องหาอีกหนึ่งคนคือ นายพงศ์นัย แสงตะล้า ที่ถูกควบคุมตัวโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้น ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี เนื่องจากได้รับความร่วมมือในด้านข้อมูลที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับรูปคดีอย่างมาก และเจ้าหน้าที่เองยินดีและพร้อมสนับสนุนในการไปต่อสู้แก้ต่างได้ตามวิถีทางของกระบวนการยุติธรรม และพร้อมจะให้ความเป็นธรรมอย่างดีที่สุด ซึ่งเชื่อว่าคงไม่น่าเป็นห่วงแต่อย่างใด

"ยืนยัน กองทัพบก ยินดีน้อมรับข้อสงสัยที่อาจเกิดขึ้นได้ของสังคม พร้อมให้ความกระจ่างในทุกกรณีบนพื้นฐานข้อเท็จจริง อันสุจริต อย่างตรงไปตรงมา ตามนโยบายของ ผู้บังคับบัญชาที่ให้ความสำคัญต่อความรู้สึกของพี่น้องประชาชนทุกเรื่อง ขอให้สังคมอย่าได้ตัดสินเพียงเพราะได้รับทราบข้อมูลที่ส่งต่อกันมาเท่านั้น ขอให้ใช้สติและวิจารณญาณอย่างรอบคอบถึงที่มาของเหตุการณ์ในครั้งนี้ ที่สำคัญขอให้เชื่อมั่นในการทำงานของเจ้าหน้าที่ทุกส่วนว่าจะดำเนินการทุกอย่างด้วยความถูกต้อง ยุติธรรมกับทุกฝ่ายภายใต้กรอบของกฎหมายที่มี" พ.อ.วินธัย กล่าว

โฆษกกองทัพบก กล่าวอีกว่า อยากขอให้สังคมได้พิจารณาและใช้เหตุผลในทุกมิติ ทั้ง การทำงานของเจ้าหน้าที่ในการตรวจค้นยาเสพติด พฤติกรรมของผู้ต้องหา สภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นต้น ทั้งนี้กองทัพบก เข้าใจความรู้สึกของทุกฝ่าย ทั้งความเสียใจของญาติครอบครัว ที่มีความเชื่อไปอีกแบบ ส่วนเจ้าหน้าที่เองก็คงรู้สึกกดดันและไม่สบายใจเช่นกันที่ได้พยายามปฏิบัติหน้าที่ตามสภาพเหตุการณ์อย่างดีที่สุดแล้ว อย่างไรก็ตาม ในคดีนี้ อยากขอให้ทุกฝ่ายให้เวลากับการพิสูจน์และตรวจสอบข้อเท็จจริงที่กำลังดำเนินการโดยกระบวนการยุติธรรม อยู่ในขณะนี้ น่าจะเป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุด