สตม.รวบแก๊งมาเฟียต่างชาติ ข่มขู่-คุกคาม-ธุรกิจมืด พัทยา

สตม.รวบแก๊งมาเฟียต่างชาติ ข่มขู่-คุกคาม-ธุรกิจมืด พัทยา

ตม.แถลงผลการกวาดล้างแก๊งมาเฟีย และกลุ่มผู้มีอิทธิพลต่างชาติ ตั้งตัวเป็นขาใหญ่ ข่มขู่ คุกคาม เกี่ยวพันธุรกิจมืดตามแหล่งท่องเที่ยว

ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) พล.ต.ท.ณัฐธร เพราะสุนทร ผบช.สตม. พล.ต.ต.ชูฉัตร ธารีฉัตร ผบก.สส.สตม.พ.ต.อ.บรรลือศักดิ์ ขลิบเงิน รอง ผบก.สส.สตม พ.ต.อ.ภัคพงศ์ สายอุบล รอง ผบก.สส.สตม. พ.ต.อ.คธาธร คำเที่ยง ผกก.ตม.ชลบุรี พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่ตำรวจภูธร ภาค 2 และเทศบาลเมืองพัทยา แถลงผลการระดมกวาดล้างแก๊งมาเฟีย และกลุ่มผู้มีอิทธิพลต่างชาติ ตั้งตัวเป็นขาใหญ่ ข่มขู่ คุกคาม เกี่ยวพันธุรกิจมืดตามแหล่งท่องเที่ยว สามารถจับกุมชาวรัสเซียและยุโรปตะวันออกได้จำนวนมาก ซึ่งมีอาชญากรข้ามชาติหนีคดีรวมอยู่ด้วยหลายคน จับกุมได้ที่เมืองพัทยา จ.ชลบุรี

พล.ต.ท.ณัฐธร กล่าวว่า ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ในการปราบปรามกลุ่มผู้มีอิทธิพล แก๊งมาเฟียต่างชาติ ที่เข้ามาสร้างความเดือดร้อน และกระทบความมั่นคงของประเทศ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. จึงได้สั่งการให้ สตม. กวดขันจับกุมอย่างจริงจัง ตนจึงได้สั่งการให้หน่วยงานในสังกัด สืบสวน หาข่าว และ ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งตำรวจภูธรภาค 2 และเมืองพัทยา สนธิกำลังกวาดล้างชาวต่างชาติผิดกฎหมาย ที่ตั้งเป็นกลุ่มแก๊งอิทธิพลและประสานข้อมูลกับทูตตำรวจของแต่ละประเทศและตำรวจสากลอย่างใกล้ชิด จนนำไปสู่การจับกุมคนต่างชาติผิดกฎหมายได้เป็นจำนวนมาก ได้แก่ชาว รัสเซีย 6 ราย, ยูเครน 1 ราย, เบลารุส 1 ราย, อุซเบกิสถาน 4 ราย, โมร็อคโค 1 ราย และอิหร่าน 1 ราย รวม 14 ราย ซึ่งในจำนวนนี้มีอาชญากรชาวรัสเซียหนีคดีสำคัญที่มีทั้งหมายจับของตำรวจรัสเซียและหมายจับตำรวจสากลในคดีที่เกี่ยวยาเสพติดและคดีการเงินรวมอยู่ด้วย บุคคลเหล่านี้เข้ามาตั้งแก๊งลักลอบทำงานและประกอบธุรกิจมืดที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร, สถานบันเทิง, ธุรกิจให้เช่ารถ, จัดหาหญิงจากยุโรปตะวันออกเพื่อการค้าประเวณี และยาเสพติด มีสมุนคอยติดตาม อาชญากรข้ามชาติรัสเซียที่มีหมายจับตำรวจรัสเซียและหมายแดงตำรวจสากลรายสำคัญ ประกอบด้วย

รายแรก นายอเล็กซานเดอร์ ดานีล๊อฟ อายุ 43 ปี สัญชาติรัสเซีย เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนหาข่าวผู้มีอิทธิพลต่างชาติ จนกระทั่งได้ข้อมูลว่านายอเล็กซานเดอร์ มีพฤติการณ์ตรงตามที่สายข่าวรายงานมา บุคคลดังกล่าวได้ตั้งตัวเป็นมาเฟียในพื้นที่พัทยา มีลูกสมุนในแก๊งหลายคน เกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด พบประวัติเคยถูกจับกุมและดำเนินคดีข้อหาเกี่ยวกับยาเสพติดมาก่อน นอกจากนี้ยังพบว่าถูกทางการรัสเซียออกหมายจับ เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้เฝ้าติดตามพฤติกรรมจนได้ข้อมูลแน่ชัด จึงได้เข้าควบคุมตัวได้ในพัทยา จ.ชลบุรี จากการซักถามนายอเล็กซานเดอร์ รับว่าตนเคยถูกจับในคดียาเสพติดมาก่อน และหลบหนีคดีมาอยู่ตามแหล่งท่องเที่ยวในพัทยาและภูเก็ต ถือได้ว่าบุคคลดังกล่าวมีพฤติการณ์เป็นภัยสังคม เข้าลักษณะต้องห้าม จากข้อมูลการเดินทางเข้า-ออกพบว่า นายอเล็กซานเดอร์ เข้ามาและได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรไทยได้ถึงวันที่ 29 พฤษภาคม 2555 ปัจจุบันอยู่เกินกำหนด (Overstay) เป็นระยะเวลาถึง 4 ปี 7 เดือน 18 วัน จึงได้แจ้งข้อหา “เป็นคนต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด” ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

รายที่สอง นายมิคาอิล กรีเวนท์ซอฟ  สัญชาติรัสเซีย บุคคลตามหมายจับตำรวจสากล ในข้อหา “จำหน่ายยาเสพติดให้โทษด้วยผิดกฎหมาย (เฮโรอีน)” คดีนี้ สตม.ได้รับการประสานจากสถานทูตรัสเซียประจำประเทศไทยว่ามีบุคคลที่ทางการรัสเซียต้องการตัวหลบหนีเข้ามาในประเทศ และตั้งตัวเป็นผู้มีอิทธิพลในเมืองพัทยา เมื่อทีมสืบสวน สตม.ร่วมกับตำรวจภูธร ภาค 2 ลงพื้นที่หาตัว เป้าหมายจึงหลบหนีออกจากพัทยาไปจังหวัดอื่น ต่อมาถูกจับกุมตัวได้ที่ จ.เลย นายมิคาอิล เดินทางเข้า-ออกประเทศไทย จำนวน 4 ครั้ง ล่าสุดเดินทางเข้ามาทางสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ด่านตรวจคนเข้าเมืองจ.หนองคาย เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2558 ได้รับอนุญาตให้อยู่ถึงวันที่ 11 มิถุนายน 2559 ปัจจุบันอยู่เกินกำหนดอนุญาต (overstay) มากกกว่า 9 เดือน เจ้าหน้าที่จึงได้แจ้งข้อหา “เป็นคนต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด” ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

รายที่สาม นายอันทอน ฟีลิพพอฟ สัญชาติรัสเซีย เป็นบุคคลที่ทางการรัสเซียต้องการตัวในคดี “จงใจไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลและหลบหนี” ปัจจุบันทางการรัสเซียได้เพิกถอนหนังสือเดินทาง จับกุมได้ที่ พัทยา จ.ชลบุรี จากข้อมูลการเดินทางเข้า-ออก พบว่า เดินทางเข้า-ออกประเทศไทย จำนวน 8 ครั้ง ล่าสุดเดินทางเข้ามาทางท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2560 ได้รับอนุญาตให้อยู่ถึงวันที่ 30 เมษายน 2560 สตม.ได้เพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร และดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

รายที่สี่ถือเป็นรายสำคัญ นายเซอเก้ มารีฟ  สัญชาติรัสเซีย บุคคลตามหมายจับตำรวจสากล และตำรวจรัสเซีย จากการสืบสวนทราบว่านายเซอเก้ใช้ชีวิตแบบเพลย์บอยอยู่ในพัทยา คบหาและมีเพศสัมพันธ์กับหญิงไทยหลายคนตามแหล่งท่องเที่ยว ทั้งนี้ตรวจสอบพบว่านายเซอเก้เป็นบุคคลที่ติดเชื้อHIV อีกด้วย เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงใช้สายลับหญิง ติดต่อผ่านแอพลิเคชั่น “Whatapp” และนัดหมายมาเจอ เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2560 เวลา 23.30 น. เจ้าหน้าที่สืบสวนจึงได้แสดงตัว เพื่อขอตรวจสอบ นอกจากนี้ชุดสืบสวนยังได้ตรวจค้นในกระเป๋าสัมภาระ พบห่อยาเป็นจำนวนมาก

จากการสอบปากคำนายเซอเก้ รับว่าตนเป็นบุคคลตามหมายจับตำรวจสากลจริง ทั้งนี้นายเซอเก้ยอมรับว่าตนเป็นโรคติดต่อร้ายแรง หลบหนีจากรัสเซีย มาใช้ชีวิตเพลย์บอย ในเมืองไทย เพราะไม่มีใครทราบเรื่องราวของตน จากข้อมูลการเดินทางพบว่าบุคคลดังกล่าวเดินทางเข้าราชอาณาจักรไทยหลายครั้ง ล่าสุดเดินทางเข้ามาทางด่านตรวจคนเข้าเมืองจ.หนองคาย เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2560 ด้วยวีซ่าประเภท นักท่องเที่ยว (60 วัน) ได้รับการอนุญาตอยู่ในราชอาณาจักรถึงวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2560 สตม. ได้เพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร และจะดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป

รายที่ 5-14 เป็นชาวรัสเซียและชาวยุโรปตะวันออก ที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต อีกจำนวน 10 ราย ทั้งหมดถูกจับกุมในข้อหาต่างๆ เช่น ลักลอบทางาน, ทำงานผิดประเภท, อยู่เกินกำหนด (Overstay) และเป็นบุคคลที่มีพฤติการณ์ที่น่าเชื่อว่าจะเป็นภัยต่อสังคม

พล.ต.ท.ณัฐธร กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมาสตม.ได้รับข้อมูลจากการสืบสวน และจากประชาชนตามจังหวัดหัวเมืองท่องเที่ยว เกี่ยวกับแก๊งมาเฟียต่างชาติโดยเฉพาะคนรัสเซีย ได้เข้ามาทำธุรกิจแย่งอาชีพคนไทย เปิดสถานบริการ บาร์เบียร์ ร้านขายของ ให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติด้วยกัน มีการเอารัดเอาเปรียบผู้บริโภค กระทบถึงภาพลักษณ์และชื่อเสียงของประเทศไทย นอกจากนี้ยังตั้งตนเป็นขาใหญ่ ข่มขู่ คุกคามคนต่างชาติด้วยกันเอง และสร้างความเดือดร้อนให้คนไทยและชาวต่างชาติ เกี่ยวข้องกับธุรกิจมืด อาทิ ขบวนการยาเสพติด, หลอกลวงและจัดหาหญิงต่างชาติ มาเพื่อให้บริการทางเพศ ซึ่งเป็นต้นเหตุของอาชญากรรมที่เกิดขึ้นตามแหล่งท่องเที่ยวที่ผ่านมา