เชนใหญ่มองธุรกิจโรงแรมสดใสเร่งขยายแบรนด์

เชนใหญ่มองธุรกิจโรงแรมสดใสเร่งขยายแบรนด์

หลังจากธุรกิจโรงแรมฟันฝ่าปัจจัยลบในช่วงไตรมาส 4 ประคองสถานการณ์ช่วงที่กำลังซื้อตลาดในประเทศซบเซาและข้ามอุปสรรคการจัดระเบียบทัวร์ผิดกฎหมายมาได้

ในช่วงไตรมาสแรกของปี ถือเป็นการฟื้นตัวสู่ “ขาขึ้น” อย่างเต็มที่ สังเกตได้จากอัตราเข้าพักเฉลี่ยที่อยู่ในระดับสูง

โอลิเวียร์ แบร์ริแวง ผู้บริหารระดับสูง ฝ่ายปฏิบัติการ ภูมิภาคเอเชีย เบสท์เวสเทิร์น โฮเทลแอนด์รีสอร์ท กล่าวว่า 3 เดือนแรก ทั้ง 8 โรงแรมในไทยมีอัตราเข้าพักเฉลี่ยราว 82% แต่ที่เป็นไฮไลท์คือ จ.ภูเก็ต ซึ่งในช่วงเดือน ก.พ.ที่มีผ่านมา มีลูกค้าสูงกว่า 99% เนื่องจากยังเป็นจุดหมายท่องเที่ยวยอดนิยม และได้รับอานิสงส์ต่อการเติบโตของนักท่องเที่ยวต่างชาติต่อเนื่องจากปีก่อน ซึ่งไทยสร้างสถิติใหม่ที่ 32.5 ล้านคน

อย่างไรก็ตาม ไม่เฉพาะแหล่งท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของธุรกิจการค้า มีโรงแรมเบสท์เวสเทิร์น แวนด้า แกรนด์ โฮเทล แจ้งวัฒนะ ที่ทำผลงานเด่นเหนือแหล่งท่องเที่ยวอื่น อัตราเข้าพักเฉลี่ยช่วงไตรมาสแรกสูงราว 92% ซึ่งเป็นผลสำเร็จจากการตั้งอยู่ในทำเลเป็นที่ต้องการของตลาดประชุมสัมมนา และมีกลุ่มลูกค้าจากศูนย์ราชการเข้ามาอุดหนุนต่อเนื่อง

การเติบโตด้วยแนวโน้มสดใสดังกล่าว ยังทำให้เบสท์เวสเทิร์น เชื่อมั่นในการขยายธุรกิจในไทย ทั้งในเชิงการบุกตลาดด้วยแบรนด์ดั้งเดิม โดยมีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาอีก 6 แห่ง ซึ่งจะเปิดให้บริการได้ในปี 2561 ในจำนวนนั้นเป็นโครงการที่ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ 3 แห่ง

ทั้งนี้ มีแผนนำแบรนด์ใหม่ล่าสุดมาชิมลางเพื่อช่วยสร้างความแข็งแกร่ง โดยในช่วงต้นปีหน้า เตรียมเปิดตัวโรงแรม “ไวบ์” แห่งแรก ซึ่งเป็นโรงแรมที่เน้นไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ยึดทำเลใกล้บีทีเอส สนามเป้า จำนวน 82 ห้อง และเซ็นสัญญาแห่งที่ 2 ที่สาทร ในทำเลใกล้บีทีเอส สะพานตากสิน 

ขณะเดียวกัน วางกลยุทธ์เติบโตคู่ขนานสำหรับธุรกิจใหม่ “ชัวร์สเตย์โฮเทลกรุ๊ป” ซึ่งเจาะกลุ่มโรงแรมราคาประหยัดถึงระดับกลาง แตกย่อยออกเป็น 3 แบรนด์ พร้อมขยายในรูปแบบการให้แฟรนไชส์ โดยที่มาแนวคิดการตั้งธุรกิจนี้ขึ้นมา เพื่อเปิดโอกาสให้เจ้าของกิจการโรงแรมที่ต้องการความยืดหยุ่น ต้องการคงเอกลักษณ์ในแนวทางของตัวเองไว้ ไม่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนตามข้อบังคับของเชนทุกอย่าง แต่ยังได้ประโยชน์จากการเข้าร่วมเครือข่ายการขายและการตลาดระดับโลกของเบสท์เวสเทิร์นได้

“แทนที่จะเสียโอกาสทางธุรกิจกับเจ้าของโรงแรมเหล่านั้นไปเลย หากมีการเลือกสรรแบรนด์ที่มีอยู่ไม่ลงตัว เราจึงสร้างสรรค์แนวคิดโรงแรมแบบไวท์เลเบลเป็นทางเลือก ซึ่งยังเปิดทางให้เกิดการพัฒนาที่เป็นอิสระ แต่เจ้าของกิจการยังได้ประโยชน์จากระบบการจัดการสำรองห้องพักที่ทำงานบนระบบคลาวด์ และระบบดิจิตัล การได้รับบริการคำปรึกษาและจัดการสื่อออนไลน์ต่างๆ และคำแนะนำในเรื่องการขายและการตลาดด้วย”

ทั้งนี้ บริษัทได้นำร่องธุรกิจดังกล่าวในประเทศต้นกำเนิดทวีปอเมริกาเหนือไปแล้ว และมีการเซ็นสัญญาร่วมทุนกว่า 30 โรงแรม และเซ็นสัญญาในไทยไปแล้ว 2 โรงแรม โดยมีโครงการเตรียมเปิดในปีนี้อยู่ที่สุขุมวิทซอย 2 ใช้แบรนด์ชัวร์สเตย์ พลัส ขนาด 85 ห้อง ทั้งนี้มีเป้าหมายว่าจะเซ็นสัญญาและเปิดโรงแรมชัวร์สเตย์กว่า 100 แห่งทั่วโลกภายในปี 2560

โอลิเวียร์ กล่าวว่า จากการที่บริษัทตั้งเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนห้องพักในเอเชียเป็น 40% เมื่อเทียบกับห้องพักโรงแรมทั่วโลกที่เข้าไปบริหาร ทำให้ในปีนี้ยังคงตั้งเป้าการเซ็นสัญญาในพื้นที่ๆ ดูแลอีกอย่างน้อย 18 แห่ง โดยมีจุดหมายหลัก ได้แก่ ไทย และ ญี่ปุ่น ซึ่งตลาดจะคึกคักมากขึ้นเพื่อรองรับการเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกเกมส์ 2020

ขณะนี้เบสท์เวสเทิร์น มีโรงแรมในเอเชียที่เปิดแล้ว 107 แห่ง แต่มีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนากว่า 49 แห่งรวมกว่า 10,316 ห้อง และแนวโน้มการขยายตัวในภูมิภาคจะยิ่งทวีความโดดเด่นขึ้น เนื่องจากมีการจับมือกับโครงการขนาดใหญ่มากขึ้น และมีจำนวนห้องพักเฉลี่ยอยู่ที่ 220 ห้อง ซึ่งไฮไลท์โครงการใหม่ในภูมิภาค มี 3 โครงการในหัวหินและพัทยา ที่มีห้องพักรวมกันกว่า 4,000 ห้อง

ด้าน ปีเตอร์ เฮนลีย์ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป กล่าวว่า ในช่วงไตรมาสแรกปีนี้ อัตราเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ราว 85-90% และยังเห็นในแนวโน้มการเติบโตที่ดีขึ้นในแง่ปริมาณนักท่องเที่ยว ทำให้คาดการณ์รายได้เติบโตได้ 20% แม้ว่าจะยังคงมีประเด็นท้าทายเรื่องราคาห้องพัก ที่คาดว่าจะอยู่ในระดับทรงตัวต่อไป

ไม่เฉพาะโรงแรมในไทยเท่านั้น แต่โรงแรมในเครือออนิกซ์ซึ่งไปลงทุนในต่างประเทศ เริ่มเห็นการฟื้นขึ้นมาของตลาดหลัก เช่น อมารี ฮาวอดด้า มัลดีฟส์ ที่ตลาดจีนเคยซบเซาลงไปในปีที่ผ่านมา ทยอยเดินทางกลับมาเที่ยวใหม่อีกครั้ง โดยมีสัดส่วนราว 20-25% ถือเป็นกสร้างสมดุลตลาดในระดับที่เหมาะสม หลังจากโรงแรมพยายามกระจายความเสี่ยง จนได้ตลาดกลุ่มอื่นๆ มาเสริม ได้แก่ ยุโรป, อินเดีย, ตะวันออกกลาง ในช่วงเวลาที่ตลาดจีนชะลอลงไป โดยเฉพาะลูกค้ากลุ่มยุโรปที่พลิกฟื้นกลับมาเติบโตสูงขึ้น

สำหรับการขยายธุรกิจในปีนี้ ยังคงใช้แบรนด์อมารี และ โอโซ่ เป็นหลัก โดยจะมีประเทศที่ไปเปิดตัวใหม่ครั้งแรก 6 ประเทศ ได้แก่ มาเลเซีย, เวียดนาม, ลาว, ออสเตรเลีย, อินโดนีเซีย และอินเดีย ขณะนี้มีโรงแรมที่เปิดให้บริการเองทั้งเป็นเจ้าของและรับบริหาร 42 แห่ง รวมกว่า 6,622 ห้อง แต่มีเป้าหมายจะเพิ่มเป็น 99 แห่งภายในปี 2567 ขณะนี้มีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาทั้งสิ้น 25 แห่ง