'กรณ์'โพสต์เตือนความจำ ปมเก็บภาษีหุ้นตระกูลชิน

'กรณ์'โพสต์เตือนความจำ ปมเก็บภาษีหุ้นตระกูลชิน

"อดีตรมว.คลัง" โพสต์เตือนความจำ ปมเก็บภาษีหุ้นตระกูลชิน ชี้ทั้งหมดต้องจบที่ศาล

เมื่อวันที่ 17 มี.ค. นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรมว.คลัง ระบุผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ถึงกรณีภาษีชินคอร์ปจะเก็บได้จริงหรือไม่นั้น ว่า ขอลำดับขั้นตอนสำคัญจากอดีตสู่วันนี้

1.กรมสรรพากรออกหมายเรียกและประเมินภาษีนายพานทองแท้ ชินวัตรและนางพินทองทา คุณากรวงศ์(3ส.ค.50 ) บุตรชายและบุตรสาวนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ

 2.นายพานทองแท้ ชินวัตร นางพินทองทา ไม่ยอมจ่ายยื่นฟ้องสรรพากร(11ธ.ค.52)

3.ศาลฎีกาพิพากษายึดทรัพย์นายทักษิณ โดยวินิจฉัยว่านายพานทองแท้และนางพินทองทาเป็นเพียงผู้ถือแทน(26ก.พ.53)

4.ศาลภาษีกลางพิพากษาถอนการประเมินภาษีนายพานทองแท้และนางพินทองทาโดยอ้างการวินิจฉัยศาลฎีกาฯ(29ธ.ค.53) 

5.สำนักงานอัยการสูงสุดแนะนำสรรพากรไม่ให้อุทธรณ์

6.กรมสรรพากรเห็นด้วยว่าไม่ควรอุทธรณ์(17มี.ค.58)

7.กระทรวงคลังรับทราบการไม่อุทธรณ์แต่เสนอให้กรมสรรพากรดำเนินการประเมินภาษีจากบุคคลที่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่แท้จริง(2พ.ค.54)

8.นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯยุบสภาฯ(9พ.ค.54)

9.น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯก็มารับตำแหน่ง(5ส.ค.54)

10.อธิบดีสรรพากรสั่งให้ยุติการเก็บภาษีโดยอ้างว่าเป็นการซื้อ-ขายในตลาดหลักทรัพย์จึงได้รับการยกเว้นภาษี(2มี.ค.55)

11.หมดอายุความการออกหมายใหม่(31มี.ค.55)

นายกรณ์ ระบุต่อว่า จากลำดับเหตุการณ์จะเห็นว่าในปี54 กระทรวงการคลังยอมรับการใช้อำนาจไม่อุทธรณ์โดยอธิบดีกรมสรรพากรภายใต้เงื่อนไขว่าเมื่อไม่เก็บภาษีจากนอมินีก็ให้ไปเก็บจากเจ้าของบัญชีตัวจริง แต่เมื่อเปลี่ยนรัฐบาลในปี55อธิบดีไม่ได้ทำเช่นนั้นและในภายหลังยังอ้างว่าเก็บไม่ได้เพราะเป็นการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ทั้งๆที่การประเมินภาษีแต่เดิมนั้นเป็นการประเมินจากการที่นายทักษิณใช้ลูกๆเป็นนอมินีซื้อหุ้น(นอกตลาดหลักทรัพย์)จากแอมเพิลริชในราคา1บาทซึ่งตํ่ากว่ามูลค่าที่แท้จริงถึง48บาทเท่ากับมีกำไรที่ต้องเสียภาษีทันที ซึ่งหลังจากนั้นที่ไปขายให้สิงค์โปร์ในตลาดหลักทรัพย์แต่นั้นไม่ใช่ประเด็นที่น่าเสียดาย คือ ในวันที่อธิบดีสรรพากรสั่งยุติเรื่อง(ในขั้นตอนที่10)ทำไมสตง.หรือกระทรวงการคลังเองถึงไม่ได้ทักท้วงทั้งที่คำสั่งของอธิบดีนั้นขัดกับข้อสังเกตโดยกระทรวงคลังเองก่อนหน้านั้นว่ากรมสรรพากรควรต้องเก็บภาษีจากเจ้าของบัญชีจริง(ในขั้นตอนที่7)หากทักท้วงแต่ตอนนั้นก็จะไม่มีปัญหาเรื่องอายุความการออกหมายเรียกเก็บภาษีดังที่ปรากฏอยู่ทุกวันนี้(ในช่วงนั้นผมทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้านและได้ยื่นเรื่องร้องเรียนในประเด็นนี้ต่อกระทรวงการคลังให้ดำเนินการตามข้อเสนอของกระทรวงที่กำหนดไว้ในอาทิตย์สุดท้ายที่ผมอยู่ในตำแหน่งรัฐมนตรี)

“ต่อคำถามว่าสุดท้ายรัฐจะเก็บภาษีนี้ได้หรือไม่นั้นจนตอนนี้ก็ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน โดยที่กรมสรรพากรในยุคปัจจุบันได้พูดไว้ว่าอายุความในการเรียกเก็บภาษีนั้นหมดไปตั้งแต่ปี55แต่วันนี้มีการตีความด้วยช่องกฎหมายนอมินีว่าการที่เคยเรียกเก็บจากนายพานทองแท้และนางพินทองทา ก็เสมือนเป็นการเรียกเก็บจากทักษิณไม่ต้องเรียกใหม่ตามตรรกะ ผมว่าถูกต้องและหวังว่าตามหลักกฎหมายจะถูกต้องด้วยแต่ผมเข้าใจว่ากรมสรรพากรไม่เคยใช้กฎหมายแนวนี้มาก่อน ทั้งหมดจึงคงต้องจบที่ศาล เรื่องนี้แต่แรกก็เป็นที่เข้าใจกันว่าต้องมีผู้ใดผู้หนึ่งเสียภาษีซึ่งกรมสรรพากรมีโอกาสจะทำให้เป็นเรื่องที่ตรงไปตรงมาได้ตั้งแต่ปี55แต่แล้วก็ไม่ทำซึ่งจากวันนี้ทั้งหมดก็ต้องไปสู้กันในชั้นศาลอีกรอบ ผลจะออกมาอย่างไรต้องติดตาม”นายกรณ์ระบุ

นอกจากนี้ นายกรณ์ระบุอีกว่าตนอภิปรายในปี2554ว่าภาระภาษีหุ้นชินนั้นมีจริงซึ่งเมื่อกรมสรรพากรเก็บภาษีจากบุตรของนายทักษิณทั้ง 2 คนไม่ได้ ก็ต้องไปตามเก็บภาษีจากเจ้าของบัญชีตัวจริงคือนายทักษิณ นี่คือ สิ่งที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช.กำลังพยายามดำเนินการ ประเด็นสำคัญ คือวันนั้นยังมีอายุความเหลืออยู่ครึ่งปีแต่กรมสรรพากรไม่ทำหน้าที่และหากใครยังมีคำถามว่า‘แล้วทำไมไม่เก็บภาษีให้เรียบร้อยตอนเป็นรัฐบาล’ขอตอบตามจริงว่าเราดำเนินการตามข้อเท็จจริงในการตามเก็บจากนายพานทองแท้ นางพินทองทา จนกระทั่งศาลวินิจฉัยว่าสองคนนั้นไม่ได้เป็นผู้ซื้อขายหุ้นตัวจริงเราจึงเสนอให้สรรพากรเปลี่ยนเป้าเก็บจากนายทักษิณแทนในฐานะผู้ซื้อขายตามคำพิพากษาศาลแต่ได้มีการยุบสภาฯหนึ่งอาทิตย์หลังจากที่ทางกระทรวงคลังออกข้อเสนอนี้ไปที่สรรพากรและถึงแม้เราแพ้การเลือกตั้งไม่ได้กลับมาเป็นรัฐบาลแต่ประชาธิปัตย์ไม่เคยปล่อยเรื่องนี้ตามที่ได้อภิปรายในสภาฯไว้ส่วนจากนี้ไปจะเก็บภาษีได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล

\'กรณ์\'โพสต์เตือนความจำ ปมเก็บภาษีหุ้นตระกูลชิน

ขอบคุณภาพ @Korn Chatikavanij