‘ทองคำ’ พุ่งรับดอกเบี้ยเฟด

‘ทองคำ’ พุ่งรับดอกเบี้ยเฟด

ทองคำ "พุ่งรับดอกเบี้ยเฟด" ชูกลยุทธ์เก็งกำไรสั้น

ราคาทองคำตลาดโลกเคลื่อนไหวผันผวน โดยปรับตัวลดลงก่อนทราบผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) แต่เมื่อผลการประชุมออกมา ซึ่ง เฟด มีมติปรับเพิ่มดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% และทำให้ดอกเบี้ยดังกล่าวขยับขึ้นจากระดับ 0.5-0.75% เป็น 0.75-1% ส่งผลให้ราคาทองคำรีบาวด์ขึ้นและทำระดับสูงสุดในรอบ 1 สัปดาห์

วรุต รุ่งขำ” ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด ระบุว่า ราคาทองคำล่าสุดหลังทราบผลการประชุมเฟด ปรับตัวเพิ่มขึ้นราว 20 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งราคาได้แรงหนุนจากเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงหลังจากเฟดมีมติด้วยคะแนนเสียง 9 ต่อ 1 ให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% สู่ระดับ 0.75-1% ตามที่ตลาดได้คาดการณ์ไว้ก่อนหน้า

ขณะที่แถลงการณ์ของเฟด ยังส่งสัญญาณคุมเข้มนโยบายการเงินในอัตราที่ค่อยเป็นค่อยไป ส่วนการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยของเจ้าหน้าที่เฟด หรือ “Dot Plot” ยังคงมุมมองตามเดิมว่า เฟด จะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้ และจะปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นอีก 3 ครั้งในปีหน้า

ทั้งนี้การที่เฟดส่งสัญญาณคุมเข้มนโยบายการเงินในอัตราที่ค่อยเป็นค่อยไปในปีนี้ มากกว่าที่ตลาดบางส่วนคาดไว้ ส่งผลให้เกิดแรงขายกดดันให้สกุลเงินดอลลาร์ร่วงลงแตะจุดต่ำสุดรอบ 2 สัปดาห์ และปัจจัยนี้ช่วยหนุนให้ราคาทองคำพุ่งขึ้น ขณะที่ กองทุน SPDR ถือครองทองคำเพิ่มอีก 4.44 ตัน

สำหรับปัจจัยทางเทคนิค ราคาทองคำยังไม่สามารถยืนเหนือระดับ 1,228-1,233 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ ส่งผลให้แรงซื้ออาจเริ่มลดลง ขณะที่กลยุทธ์การลงทุน ยังคงเน้นการเก็งกำไรระยะสั้นจากการแกว่งตัว โดยเข้าซื้อเฉพาะเมื่อตลาดปรับตัวลงมาในบริเวณแนวรับ 1,217-1,212 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และแนะนำให้ตัดขาดทุนที่ 1,212 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่การเปิดสถานะขายอาจเสี่ยงพิจารณาในโซน 1,228-1,233 ดอลลาร์ต่อออนซ์

ด้าน บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ ฟิวเจอร์ จำกัด ระบุว่า หลังเฟดตัดสินใจปรับขึ้นดอกเบี้ย ตลาดก็มีความผิดหวังต่อการที่เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไม่มากตามที่คาด โดยเฟดประเมินว่า มีโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 2 ครั้งในปีนี้ และเฟดไม่ได้ส่งสัญญาณหรือท่าทีการปรับขึ้นที่รุนแรงเท่าไรนัก จึงทำให้มีแรงซื้อกลับเข้ามาในตลาดทองคำอย่างหนาแน่น

โดยราคาทองคำช่วงเช้าวานนี้ กลับมายืนเหนือระดับ 1,220 ดอลลาร์ต่อออนซ์อีกครั้ง ส่วนด้านกองทุนทองคำ SPDR ยังคงเข้าซื้ออีก 4.44 ตัน โดยปัจจุบันถือครองทองคำที่ระดับ 839.34 ตัน

ทั้งนี้ในทางเทคนิค การที่ราคาทองคำกลับมายืนเหนือ 1,220 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้อีกครั้ง ทำให้ทิศทางระยะสั้นกลับมาสดใสอีกครั้ง หลังจากที่ราคาทรงตัวแถวระดับ 1,205 ดอลลาร์ต่อออนซ์มานานกว่า 5 วัน

ภาพรวมทางเทคนิค ส่งสัญญาณการเข้าซื้อระยะสั้น โดยทองคำจะมี แนวรับที่ระดับ 1,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งถือเป็นระดับแนวรับที่แข็งแกร่ง ขณะที่แนวต้านสำคัญอยู่ที่ 1,232 ดอลลาร์ต่อออนซ์

ด้านราคาทองคำไทยจะมีแนวรับที่ระดับ 20,050 บาทต่อบาททองคำ และแนวต้านที่ 20,400 บาทต่อบาททองคำ โดยภาพรวมค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างมาก จึงถือเป็นปัจจัยกดดันทำให้ราคาทองคำไทยไม่สามารถขึ้นได้เยอะเท่าราคาทองคำต่างประเทศ ซึ่งค่าเงินบาทปรับแข็งค่าจากระดับ 35.30 บาทต่อดอลลาร์ มาอยู่ที่ 35.08 บาทต่อดอลลาร์ ในเช้าวานนี้ โดยปรับตัวแข็งค่ากว่า 0.20 บาท

ขณะที่ บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด ประเมินว่า แนวโน้มราคาทองคำทางเทคนิคมีโอกาสฟื้นตัวขึ้น โดยมีแนวต้านที่ 1,230 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เป็นแนวต้านของเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 20 วัน ขณะที่แนวรับระยะสั้นอยู่ที่ 1,200-1,205 ดอลลาร์ต่อออนซ์

ปัจจัยที่มีผลต่อราคาทองคำ เช่น การประชุมของเฟด ที่มีมติขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ตามที่ตลาดคาด โดยเฟดยังคาดด้วยว่า ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของสหรัฐจะขยายตัว 2.1% ในปี 2560-2561 ส่วนอัตราการว่างงาน คาดว่า จะลดลงสู่ระดับ 4.5% ในสิ้นปีนี้ อัตราเงินเฟ้อปรับเพิ่มจากคาดการณ์เดิมที่ 1.8% เป็น 1.9% ในปีนี้ และอัตราเงินเฟ้อในปีหน้าจะเพิ่มขึ้นสูงระดับ 2% ตามอัตราเงินเฟ้อเป้าหมาย

นอกจากนี้ การเลือกตั้งของเนเธอร์แลนด์ ผลเอ็กซิตโพลล์ชี้ว่า พรรควีวีดี ของนายมาร์ค รุตเต นายกรัฐมนตรีเนเธอร์แลนด์สามารถกวาดที่นั่งได้มากสุด โดยกวาดที่นั่งไปได้ 31 ที่นั่ง จากทั้งหมด 150 ที่นั่ง ชนะพรรคการเมืองคู่แข่งอย่างพรรค พีวีวี ของนายเกิร์ต ไวล์เดอร์ส ซึ่งเป็นพรรคการเมืองฝั่งขวาจัด รวมทั้งพรรคซีดี และพรรค ดี66 ที่กวาดที่นั่งไปได้เพียงพรรคละ 19 ที่นั่งเท่านั้น

ด้าน บริษัท โกลเบล็ก โฮลดิ้ง แมนเนจเม้นท์ จำกัด (มหาชนระบุว่า ปัจจัยที่มีผลต่อการเคลื่อนไหวราคาทองคำช่วงนี้ คือ เงินดอลลาร์ที่อ่อนลงหลังจากที่เฟดมีมติด้วยคะแนนเสียง 9 ต่อ 1 ให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% สู่ระดับ 0.75-1% ในการประชุมวันก่อนหน้า ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดการเงินคาดการณ์ไว้ โดยการปรับดอกเบี้ยของเฟดรอบนี้เป็นการปรับขึ้นครั้งแรกในปีนี้ และครั้งที่ 2 ในรอบ 3 เดือน 

ส่วนกลยุทธ์การลงทุน ในกรณีที่เป็นนักลงทุนระยะสั้น (1-2 วัน) แนะนำซื้อเข้าใกล้บริเวณ 1,208 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และขายทำกำไรเมื่อเข้าใกล้แนวต้านที่ 1,240 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่นักลงทุนระยะกลางถึงยาว แนะนำซื้อเมื่อเข้าใกล้บริเวณ 1,192 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และขายทำกำไรเมื่อเข้าใกล้บริเวณแนวต้าน 1,256 ดอลลาร์ต่อออนซ์